ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้น 0.40% เมื่อคืนนี้ (20 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า พรรคเดโมแครตและทำเนียบขาวใกล้จะบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่เพื่อเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกหลังจากบริษัทโมเดอร์นาเปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐอาจอนุญาตให้มีการใช้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของทางบริษัทเป็นกรณีฉุกเฉินในเดือนธ.ค.นี้
-- นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ กล่าวว่า พรรคเดโมแครตและทำเนียบขาวใกล้จะบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ขณะเดียวกันนางเพโลซีไม่ได้ให้ความสำคัญต่อกำหนดเส้นตายที่มีการประกาศก่อนหน้านี้ว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องบรรลุข้อตกลงดังกล่าวภายในวันอังคารตามเวลาสหรัฐ โดยนางเพโลซีส่งสัญญาณว่าการเจรจาจะยังคงดำเนินต่อไป
นางเพโลซีระบุว่า การที่จะให้สภาคองเกรสออกกฎหมายว่าด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เสร็จก่อนวันเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พ.ย. สมาชิกสภาคองเกรสจะต้องมีการบรรลุข้อตกลง และมีการเขียนร่างกฎหมายภายในสัปดาห์นี้
"มันไม่ได้หมายความว่าวันนี้คือวันที่เราจะได้ข้อตกลง แต่เป็นวันที่เราจะสามารถมีความเห็นร่วมกันเกี่ยวกับเงื่อนไขของเราเพื่อไปสู่ขั้นตอนต่อไป" นางเพโลซีกล่าว
-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าววานนี้ว่า เขาคาดว่าวุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกันจะให้การสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐที่ผ่านความเห็นชอบของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ แม้ว่าจะมีวุฒิสมาชิกบางรายที่แสดงท่าทีคัดค้านก่อนหน้านี้
"ผมต้องการให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีวงเงินมากกว่าที่พรรคเดโมแครตเสนอเสียอีก แต่ไม่ใช่ทุกคนในพรรครีพับลิกันจะเห็นด้วยกับผม แต่พวกเขาจะเห็นด้วยในที่สุด" ปธน.ทรัมป์กล่าว
ก่อนหน้านี้ นางเพโลซีได้กำหนดเส้นตาย 48 ชั่วโมงสำหรับการบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเส้นตายดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันอังคารตามเวลาสหรัฐ เพื่อให้สภาคองเกรสมีเวลาเตรียมการสำหรับการผ่านร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย. ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น
-- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 1.9% ในเดือนก.ย. สู่ระดับ 1.415 ล้านยูนิต แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.457 ล้านยูนิต จากระดับ 1.388 ล้านยูนิตในเดือนส.ค. ทั้งนี้ ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้นทุกภูมิภาค ยกเว้นในเขตมิดเวสต์ ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 5.2% สู่ระดับ 1.553 ล้านยูนิต
-- นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า อังกฤษจะไม่มีการเจรจาการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) อีกต่อไป หาก EU ไม่ยอมเปลี่ยนท่าทีในการเจรจา
"หาก EU เปลี่ยนท่าทีในการเจรจา เราก็จะกลับมาเจรจากันใหม่" นายจอห์นสันกล่าว
นอกจากนี้ นายจอห์นสันยังกล่าวว่า EU เป็นฝ่ายยุติการเจรจา โดยแถลงว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจุดยืนในการเจรจา
คำกล่าวของนายจอห์นสัน เป็นการย้ำถ้อยแถลงของเขาเมื่อวันศุกร์ที่ระบุว่า เขาจะปล่อยให้อังกฤษแยกตัวออกจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง (no-deal Brexit) หาก EU ไม่ยอมเปลี่ยนท่าทีในการเจรจา
ทั้งนี้ ตัวแทนการเจรจาฝ่าย EU ระบุว่า EU ต้องการพักการเจรจาในขณะนี้ และการเจรจาจะมีขึ้นอีกในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้า โดยเชื่อว่ายังคงมีเวลาพอที่จะแก้ไขความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ดี แถลงการณ์ของ EU สร้างความไม่พอใจต่อทางอังกฤษ เนื่องจาก EU เรียกร้องให้อังกฤษดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อให้มีการบรรลุข้อตกลง
-- หนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์รายงานว่า สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค เตรียมประกาศเลิกจ้างพนักงานจำนวน 6,000 คน หรือราว 18% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ระบุว่า คาเธ่ย์ แปซิฟิคจะจัดการแถลงข่าวการปลดพนักงานครั้งใหญ่ในวันนี้ โดยจะเลิกจ้างพนักงาน 6,000 คน ลดลงจากเดิมที่บริษัทตั้งใจปลดพนักงาน 8,000 คน หลังจากที่รัฐบาลฮ่องกงเข้าแทรกแซงการตัดสินใจดังกล่าว
นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังระบุว่า คาเธ่ย์ แปซิฟิคจะประกาศยุติการดำเนินการของสายการบินคาเธ่ย์ ดรากอน ซึ่งเป็นสายการบินในเครือ และจะมีการควบรวมพนักงานและทรัพยากรเข้ากับคาเธ่ย์ แปซิฟิค
-- กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้ยื่นฟ้องกูเกิลในข้อหาละเมิดกฎหมายป้องกันการผูกขาด เนื่องจากกูเกิลผูกขาดตลาดบริการสืบค้นข้อมูลออนไลน์ ซึ่งส่งผลเสียกับบรรดาคู่แข่งและผู้บริโภค
การฟ้องร้องดังกล่าวถือเป็นคดีแรกนับตั้งแต่ที่ไมโครซอฟท์เคยโดนฟ้องคดีเดียวกันนี้เมื่อปี 2541 โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐเปิดเผยว่า รัฐบาลต้องการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาดอีกครั้ง เพื่อฟื้นฟูการแข่งขัน และเปิดประตูสู่นวัตกรรมใหม่ๆ
ด้านกูเกิลได้ออกมาวิจารณ์การฟ้องร้องดังกล่าวทันที โดยระบุในแถลงการณ์ว่า การฟ้องร้องนี้ "มีข้อบกพร่องอย่างมาก" และ "ไม่ได้ช่วยผู้บริโภคแต่อย่างใด"
-- Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้อยู่ที่ 41,029,279 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1,129,492 ราย
สหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุดในโลก (8,520,307) รองลงมาคืออินเดีย (7,649,158), บราซิล (5,274,817), รัสเซีย (1,431,635), สเปน (1,029,668) และอาร์เจนตินา (1,018,999)
นอกจากนี้ สหรัฐยังเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในโลก (226,149) ตามมาด้วยบราซิล (154,888), อินเดีย (115,950), เม็กซิโก (86,893) และสหราชอาณาจักร (43,967)
-- นพ.สก็อตต์ ก็อตต์ลิเอ็บ อดีตประธานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กล่าวเตือนว่า สหรัฐจะเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโควิด-19 โดยเริ่มตั้งแต่สัปดาห์หน้า
"ในขณะที่ยังไม่มียารักษาในวงกว้าง ไวรัสโควิด-19 จะแพร่ระบาดอย่างมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว โดยสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า" นพ.ก็อตต์ลิเอ็บกล่าว
นพ.ก็อตต์ลิเอ็บยังกล่าวเตือนว่า ช่วงเทศกาลวันหยุด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกในครอบครัวมารวมตัวกัน จะสร้างความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากจะเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่ขาดความระมัดระวังในการป้องกันการติดเชื้อ
-- นายเทียน เป้ากัว เจ้าหน้าที่จากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน กล่าวว่า อาสาสมัครจำนวน 60,000 รายในประเทศต่างๆ ได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 ของจีนในการทดลองทางคลินิคในระยะที่ 3 โดยไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงใดๆ
นายเทียนกล่าวว่า วัคซีนที่เข้าร่วมการทดลองในครั้งนี้มีจำนวน 4 ตัว ซึ่งผลการทดลองเป็นไปด้วยดี และบ่งชี้ว่าวัคซีนมีความปลอดภัย
อย่างไรก็ดี นายเทียนเปิดเผยว่า อาสาสมัครบางรายมีอาการเจ็บและบวมในบริเวณที่ฉีดวัคซีน และมีอาการเป็นไข้ แต่ไม่รุนแรงมาก
-- นายเจิ้ง จงเหว่ย เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) กล่าวว่า จีนมีความสามารถในการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 จำนวน 610 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ จีนจะขยายกำลังการผลิตวัคซีนในปีหน้าเพื่อรองรับความต้องการทั้งภายในและภายนอกประเทศ
นายเจิ้งระบุว่า จีนมองว่าวัคซีนต้านโควิด-19 เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับสาธารณะ จึงกำหนดราคาตามต้นทุน มากกว่าตามปัจจัยอุปสงค์-อุปทาน ซึ่งราคาดังกล่าวจะเป็นที่ยอมรับของสาธารณชน และกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเป็นกลุ่มแรกๆที่ได้รับวัคซีนดังกล่าว
-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจในวันนี้ อังกฤษจะเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย. ขณะที่สหรัฐเตรียมเปิดเผยสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) (เช้าวันที่ 22 ต.ค.)
ส่วนในวันพรุ่งนี้ เยอรมนีเตรียมเปิดเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Gfk และสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ย. รวมถึงดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนก.ย.จาก Conference Board