World Today: ประเด็นข่าวต่างประเทศน่าติดตามวันนี้

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 4, 2020 09:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทั่วโลกจับตาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะที่หลายรัฐทั่วประเทศเริ่มมีการปิดหีบและนับคะแนน โดยอิงจากเวลามาตรฐานฝั่งตะวันออกของสหรัฐ (EST) ซึ่งผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 270 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียง

เนื่องจากสหรัฐเป็นประเทศขนาดใหญ่และใช้โซนเวลาแตกต่างกัน จึงทำให้แต่ละรัฐมีเวลาเปิดหีบและปิดหีบเลือกตั้งไม่เหมือนกัน โดยรัฐจอร์เจีย อินเดียนา เคนตั๊กกี เซาท์แคโรไลนา เวอร์มอนท์ และเวอร์จิเนีย เป็นรัฐกลุ่มแรกที่ปิดหีบเลือกตั้ง และเริ่มนับคะแนนเร็วที่สุดของสหรัฐ โดยตรงกับวันนี้เวลา 07.00 น.ตามเวลาไทย

-- ผลนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐล่าสุด ณ เวลาประมาณ 08.53 น. ตามเวลาไทย ระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งจากพรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะใน 7 รัฐ ซึ่งได้แก่ อินเดียนา เคนตั๊กกี้ โอกลาโฮมา เทนเนสซี เวสต์เวอร์จิเนีย อาคันซอส์ และมิสซิสซิปปี

ขณะที่นายโจ ไบเดน คู่ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะใน 7 รัฐเช่นกัน ซึ่งได้แก่ เดลาแวร์ วอชิงตันดีซี แมรีแลนด์ แมสซาชูเซตส์ นิวเจอร์ซี เวอร์มอนท์ และเวอร์จิเนีย

ส่วนคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละรัฐนั้น ขณะนี้นายไบเดนมีคะแนนนำอยู่ที่ 85 คะแนน ส่วนคะแนนของทรัมป์อยู่ที่ 72 คะแนน

-- ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศหน้าคูหาเลือกตั้ง หรือเอ็กซิตโพล เผยให้เห็นว่า ชาวอเมริกันผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่มองว่าปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ แต่ขณะเดียวกันก็ระบุว่า การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ควรเป็นสิ่งที่ประเทศให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในขณะนี้ แม้ว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจก็ตาม

โพลซึ่ง Edison Research จัดทำในนามของ National Election Pool ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ลงคะแนนเสียงแบบตัวต่อตัวในวันเลือกตั้ง 3 พ.ย. ประกอบกับโทรศัพท์สอบถามความเห็นผู้ใช้สิทธิออกเสียงล่วงหน้าและผู้โหวตทางไปรษณีย์

ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณ 1 ใน 3 ยกให้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งในการเลือกประธานาธิบดี ขณะที่ 1 ใน 5 ยกให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางเชื้อชาติและสีผิวเป็นปัญหาสำคัญที่สุด และราว 1 ใน 6 ระบุว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกประธานาธิบดี

-- โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่สองจากพรรครีพับลิกันเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เขาจะประกาศชัยชนะก็ต่อเมื่อผลการนับคะแนนบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า เขาเป็นผู้ชนะ

"ผมจะประกาศชัยชนะก็ต่อเมื่อคะแนนออกมาว่าผมเป็นผู้ชนะ ผมไม่มีเหตุผลที่จะเล่นเกมในเรื่องนี้" ทรัมป์กล่าวเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เขาจะประกาศชัยชนะล่วงหน้าหรือไม่

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงมุมมองในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทรัมป์กล่าวว่า เขาเชื่อว่ายังมีโอกาสที่จะทำหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัย

"ผมรู้สึกดีมากๆ เมื่อดูจากผู้ออกมาใช้สิทธิ์จำนวนมากอย่างที่ไม่เห็นมาก่อน ซึ่งบ่งชี้ว่าจะมีผู้ลงคะแนนเสียงเป็นจำนวนมาก อีกไม่นานเราก็จะรู้ผล" ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าว

-- รัฐบาลสหรัฐได้ส่งทหารจากกองกำลังแห่งชาติจำนวนกว่า 4,700 นายเข้าประจำการใน 18 รัฐ เพื่อรักษาความปลอดภัยในระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดี หลังจากที่หลายฝ่ายได้แสดงความกังวลว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์จลาจลหลังการเลือกตั้ง

สำหรับรัฐที่มีกองกำลังทหารแห่งชาติของสหรัฐเข้าประจำการในครั้งนี้รวมถึงรัฐเท็กซัส เพนซิลวาเนีย และแมสซาชูเซตส์ ซึ่งมีกองกำลังทหารจำนวน 1,000 นายเข้าประจำการ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบและการจลาจลในรัฐเหล่านี้ ขณะที่รัฐแอริโซา และแอละบามา มีทหารประจำการอยู่รัฐละ 300 นาย

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุดเมื่อคืนนี้ (3 พ.ย.) ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า นายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ และพรรคเดโมแครตจะสามารถครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งจะเปิดทางให้คณะบริหารของนายไบเดนสามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

-- สำนักข่าว Amaq ของกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) รายงานว่า IS ได้อ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์กราดยิงในกรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บกว่า 20 ราย

นอกจากนี้ IS ยังได้แสดงภาพของนายอาบู ดากนาห์ อัล-อัลบานี โดยระบุว่าเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนกราดยิงประชาชน ก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฯ

ทั้งนี้ รายงานล่าสุดระบุว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงในกรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ได้เพิ่มเป็น 4 ราย ขณะที่บาดเจ็บกว่า 20 ราย

-- Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้อยู่ที่ 47,844,347 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1,220,210 ราย

สหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุดในโลก (9,692,528) รองลงมาคืออินเดีย (8,312,947), บราซิล (5,567,126), รัสเซีย (1,673,686), ฝรั่งเศส (1,502,763), สเปน (1,331,756), อาร์เจนตินา (1,195,276), โคลอมเบีย (1,099,392) และสหราชอาณาจักร (1,073,882)

นอกจากนี้ สหรัฐยังเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในโลก (238,641) ตามมาด้วยบราซิล (160,548), อินเดีย (123,650), เม็กซิโก (92,593) และสหราชอาณาจักร (47,250)

ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ทวีความรุนแรงและรวดเร็วขึ้น โดยทั่วโลกติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 10 ล้านรายภายในเวลา 3 เดือน และสู่ระดับ 20 ล้านรายภายใน 44 วัน, 30 ล้านรายภายใน 38 วัน และ 40 ล้านรายภายในเวลาเพียง 32 วัน

-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่มีกำหนดการเปิดเผยวันนี้ มาร์กิตจะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนต.ค.ของฝรั่งเศส, เยอรมนี, อียู และสหรัฐ รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนต.ค.ของอังกฤษซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับซีไอพีเอส ขณะที่สหรัฐเตรียมเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนต.ค.จาก ADP, ยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนก.ย., ดัชนีภาคบริการเดือนต.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)

ส่วนในวันพรุ่งนี้ เกาหลีใต้มีกำหนดการเปิดเผยดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนก.ย. ออสเตรเลียจะเปิดเผยยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนก.ย. เยอรมนีจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ย. อียูเตรียมเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนก.ย. ในขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีกำหนดจัดประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย และสหรัฐมีกำหนดการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ รวมถึงการแถลงมติอัตราดอกเบี้ยคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ซึ่งตรงกับช่วงเช้าของวันที่ 6 พ.ย. ตามเวลาไทย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ