ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุดเมื่อคืนนี้ โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในครั้งนี้จะไม่มีพรรคใดครองอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส โดยพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มที่จะยังคงครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ซึ่งจะขัดขวางไม่ให้นโยบายปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลของนายโจ ไบเดน ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส
-- นักลงทุนยังคงรอดูผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของสหรัฐ โดยขณะนี้ นายไบเดนได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง 264 เสียง นำหน้าปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งได้คะแนน 214 เสียง โดยนายไบเดนต้องการอีกเพียง 6 เสียงเท่านั้นก็จะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งหรือ 270 เสียงจากทั้งหมด 538 เสียง เพื่อชนะการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี ผลการเลือกตั้งล่าสุดในวุฒิสภาบ่งชี้ว่า พรรครีพับลิกันมีแนวโน้มที่จะยังคงครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ซึ่งส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น เพราะอาจทำให้นโยบายการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลของนายไบเดนไม่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส ซึ่งจะทำให้บริษัทจดทะเบียนยังคงได้รับประโยชน์จากนโยบายลดอัตราภาษีของรัฐบาลทรัมป์ต่อไป
-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความเมื่อคืนนี้ว่า เขาจะยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อให้มีการตรวจสอบผลการนับคะแนนในทุกรัฐที่นายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ได้รับชัยชนะ เนื่องจากมีการโกงการเลือกตั้งเกิดขึ้น
"เราจะฟ้องศาลเพื่อให้มีการตรวจสอบทุกรัฐที่นายไบเดนอ้างชัยชนะ เนื่องจากมีการโกงการเลือกตั้งจากทั้งผู้ลงคะแนน และจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าการโกงเลือกตั้งดังกล่าวได้เกิดขึ้นในรัฐใด และไม่ได้ยกตัวอย่างการทุจริตที่เกิดขึ้น
-- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ตามคาด พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะมีการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเหนือระดับเป้าหมาย 2%
ในการประชุมครั้งนี้ เฟดยังประกาศว่าจะเดินหน้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อย่างน้อย 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน รวมทั้งใช้เครื่องมืออื่นตามที่จำเป็น โดยขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ
-- นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยหลังประกาศมติอัตราดอกเบี้ยว่า เศรษฐกิจสหรัฐจำเป็นต้องมีนโยบายทางการคลังและการเงินรองรับมากกว่านี้ และเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้นหากมีนโยบายการคลังรองรับมากกว่านี้
นอกจากนี้ ประธานเฟดยังเตือนว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งพบอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากนั้นเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งด้วย
-- Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้อยู่ที่ 48,570,769 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1,233,025 ราย
สหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุดในโลก (9,802,374) รองลงมาคืออินเดีย (8,364,086), บราซิล (5,590,941), รัสเซีย (1,712,858), ฝรั่งเศส (1,543,321), สเปน (1,356,798), อาร์เจนตินา (1,205,928), โคลอมเบีย (1,108,084) และสหราชอาณาจักร (1,099,059)
นอกจากนี้ สหรัฐยังเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในโลก (239,842) ตามมาด้วยบราซิล (161,170), อินเดีย (124,354), เม็กซิโก (93,228) และสหราชอาณาจักร (47,742)
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ทวีความรุนแรงและรวดเร็วขึ้น โดยทั่วโลกติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 10 ล้านรายภายในเวลา 3 เดือน และสู่ระดับ 20 ล้านรายภายใน 44 วัน, 30 ล้านรายภายใน 38 วัน และ 40 ล้านรายภายในเวลาเพียง 32 วัน
-- กระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซียเปิดเผยว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีจำนวน 4,065 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 425,796 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
ขณะนี้ การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ลุกลามไปทั้ง 34 จังหวัดของอินโดนีเซีย
ส่วนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่มีจำนวน 89 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตรวม 14,348 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในอาเซียนเช่นกัน
-- กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่พุ่งขึ้นมากกว่า 1,000 รายเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.
ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่มีจำนวน 1,045 รายเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ขณะนี้ญี่ปุ่นมีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 105,079 ราย ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 7 ราย สู่ระดับ 1,819 ราย
จำนวนผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่นพุ่งขึ้น หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19
-- รัฐบาลจีนประกาศห้ามผู้ที่เดินทางจากอังกฤษ เบลเยียม อินเดีย และฟิลิปปินส์ เดินทางเข้าประเทศเมื่อวานนี้ หลังพบว่ามีการแพร่ระบาดจากไวรัสโควิด-19 ในประเทศดังกล่าว
นอกจากนี้ เริ่มตั้งแต่วันนี้ ผู้ที่เดินทางจากไทย สหรัฐ ฝรั่งเศส และเยอรมนี จะต้องแสดงผลตรวจ NAT หรือ nucleic acid test และผลตรวจแอนติบอดีเพื่อแสดงว่าปลอดจากการติดเชื้อโควิด-19 ก่อนขึ้นเครื่องบินไม่เกิน 48 ชั่วโมง
ส่วนผู้ที่เดินทางจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และออสเตรเลียจะต้องแสดงผลตรวจดังกล่าวเช่นกัน โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 8 พ.ย.
-- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐประกาศการจัดเก็บภาษีตอบโต้การอุดหนุนของรัฐบาล (CVD) ต่อยางรถยนต์ที่นำเข้าจากเวียดนามเมื่อคืนนี้ โดยจะเรียกเก็บในอัตรา 6.23-10.08%
การดำเนินการของสหรัฐในครั้งนี้ นับเป็นการใช้มาตรการดังกล่าวเป็นครั้งแรกเพื่อตอบโต้รัฐบาลต่างชาติที่จงใจลดค่าเงินเพื่อเอื้อต่อการส่งออกสินค้า โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่า เวียดนามจงใจลดค่าเงินดองให้อ่อนค่าเกินจริงในปีที่แล้วเพื่อหวังผลทางการค้า
นอกจากนี้ สหรัฐได้เดินหน้ากระบวนการพิจารณาจัดเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ต่อยางรถยนต์ที่นำเข้าจากไทย เวียดนาม เกาหลีใต้ และไต้หวัน เพื่อพิจารณาว่ามีการจำหน่ายยางดังกล่าวในราคาที่ต่ำกว่าระดับที่เหมาะสมหรือไม่
หากการสอบสวนพบว่าทั้ง 4 ประเทศมีการทุ่มยางรถยนต์ราคาถูกในตลาดสหรัฐ รัฐบาลสหรัฐก็จะเรียกเก็บภาษี AD ต่อยางรถยนต์ที่นำเข้าจากประเทศดังกล่าว โดยในกรณีของไทย กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเรียกร้องให้มีการเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 217%
ทั้งนี้ สหรัฐจะประกาศผลการพิจารณาจัดเก็บภาษี AD ต่อทั้ง 4 ประเทศในวันที่ 29 ธ.ค.
-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน โดยลดลงสู่ระดับ 751,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากอยู่ที่ 758,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้านี้
ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 732,000 ราย
ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกได้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์แตะระดับ 6.9 ล้านรายในช่วงปลายเดือนมี.ค. โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ส่งผลให้ภาคธุรกิจปิดกิจการ และมีการปลดพนักงานจำนวนมาก
-- นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐในวันนี้เวลา 20.30 น. ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 530,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 7.7% ในเดือนต.ค.