เจซี เพนนีย์ ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐซึ่งมีอายุนานถึง 118 ปี ใกล้จะหลุดพ้นจากวิกฤตล้มละลายในเดือนนี้ หลังศาลรัฐเท็กซัสได้อนุมัติให้บริษัทไซมอน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป และบริษัทบรู๊คฟิลด์ แอสเซท เมเนจเมนท์ ซึ่งเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐ เข้าซื้อกิจการของเจซี เพนนีย์ ในวงเงิน 1.75 พันล้านดอลาร์
ทีมทนายความของเจซี เพนนีย์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้จะช่วยให้พนักงานของเจซี เพนนีย์จำนวนราว 60,000 คนไม่ต้องตกงาน อย่างไรก็ดี ทีมทนายความไม่ได้เปิดเผยว่ามีห้างสรรพสินค้าของเจซี เพนนีย์กี่แห่งที่จะไม่ต้องถูกปิดหลังจากการเข้าซื้อกิจการ
จิล โซลทอ ซีอีโอของเจซี เพนนีย์กล่าวว่า เป้าหมายของบริษัทหลังจากกระบวนการซื้อกิจการในครั้งนี้ก็คือ การสร้างความเชื่อมั่นว่า เจพี เพนนีย์ จะยังคงให้บริการลูกค้าต่อไปอีกหลายสิบปี
ภายใต้โครงสร้างใหม่นี้ เจซี เพนนีย์จะแตกออกเป็น 2 บริษัท โดยไซมอน และบรู๊คฟิลด์ จะเข้าถือครองสินทรัพย์ด้านการค้าปลีกและการดำเนินงาน ขณะที่บรรดาเจ้าหนี้ของเจซี เพนนีย์ จะเข้ามาบริหารจัดการศูนย์การจัดจำหน่ายและธุรกิจโฮลดิ้งด้านอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท
เอกสารที่ยื่นต่อรัฐบาลสหรัฐระบุว่า เจซี เพนนีย์ ได้ปิดสาขาไปแล้วจำนวน 7 แห่งในปีนี้ และมีแผนที่จะปิดสาขาทั้ง 153 แห่ง นอกจากนี้ ทางบริษัทจะลดจำนวนสาขาเกือบ 1 ใน 3 ในอีก 2 ปีข้างหน้า ตามแผนผรับโครงสร้าง ซึ่งจะทำให้มีสาขาของบริษัทเปิดให้บริการอยู่เพียง 600 สาขา
เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา เจซี เพนนีย์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอการพิทักษ์ทรัพย์ตามกฎหมายล้มละลายของสหรัฐ หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และเป็นไปตามการปรับโครงสร้างบริษัท
ก่อนหน้าที่จะเผชิญกับวิกฤตการณ์จากไวรัสโควิด-19 เจซี เพนนีย์ได้รับผลกระทบอยู่ก่อนแล้วจากการแข่งขันกับบรรดาบริษัทอี-คอมเมิร์ซ ขณะที่บริษัทมีหนี้สินเกือบ 4 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ เจซี เพนนีย์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2445 และมีพนักงานเกือบ 90,000 คน