นายลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คาดการณ์ว่า รัฐบาลสิงคโปร์จะเผชิญกับการขาดดุลงบประมาณไปจนถึงอย่างน้อยในช่วงต้นปีหน้า หรืออาจจะยาวไกลกว่านั้น เนื่องจากรัฐบาลต้องอัดฉีดงบประมาณจำนวนมากเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นายลีกล่าวกับผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์กในการประชุม New Economy Forum ซึ่งจัดขึ้นทางวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ในวันนี้ว่า "งบประมาณปี 2564 จะมีการจัดสรรในเดือนก.พ. ซึ่งผมไม่แน่ใจว่างบประมาณจะเกินดุลหรือไม่ในเวลานั้น อย่างไรก็ดี ผมคาดว่า งบประมาณจะกลับมาสู่ภาวะสมดุลได้อีกครั้ง แต่อาจจะต้องใช้เวลา"
ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ถือเป็นชาติแรกๆ ในภูมิภาคเอเชียที่เปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ และในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลได้นำเงินในทุนสำรองของชาติออกมาใช้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก นอกจากนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยังให้คำมั่นว่าจะออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 5 รอบ คิดเป็นวงเงินรวม 1 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (7.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)
อย่างไรก็ดี นายลีได้กล่าวปกป้องการตัดสินใจของรัฐบาลที่อัดฉีดงบประมาณจำนวนมากในการต่อสู้กับโควิด-19 โดยกล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ประชาชนมีงานทำ หรือช่วยเหลือคนตกงานให้ยังสามารถดำรงชีพต่อไปได้
มุมมองดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ มีความสอดคล้องกับที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้แนะนำให้ทุกประเทศลดความกังวลในเรื่องการขาดดุลงบประมาณในขณะนี้ และให้เพิ่มการใช้จ่ายสาธารณะเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่โควิด-19 ยังคงแพร่ระบาด