ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ระบุว่า ขณะนี้จีนได้แซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นตลาดต่างประเทศชั้นนำสำหรับบริษัทต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยบริษัท 29% จากทั้งหมดที่ได้รับการสำรวจมองว่า จีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่สุด ขณะที่ 28% มองว่า สหรัฐเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่สุด
ผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจโลก
เอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ได้ทำการสำรวจความเห็นของบริษัทจำนวน 10,400 แห่งใน 39 ประเทศระหว่างวันที่ 11 ก.ย. - 7 ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีสัญญาณว่า โรคโควิด-19 เพิ่งเริ่มแพร่ระบาดระลอกสองทั่วยุโรป และเป็นช่วงก่อนที่นายโจ ไบเดนจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันที่ 3 พ.ย.
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้ขัดขวางหนทางที่จีนจะได้รับประโยชน์จากบริษัทเอกชนและคนงานในสหรัฐ โดยผลสำรวจของเอชเอสบีซีระบุว่า นอกจากการแยกตัวออกจากจีนจะไม่ได้เป็นไปตามที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตั้งใจไว้ แต่ยังทำให้ฐานการผลิตของบริษัทเอกชนกระจายไปยังศูนย์กลางธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แทนที่จะย้ายกลับประเทศ
นางนาตาลี บลายธ์ หัวหน้าฝ่ายการค้าของเอชเอสบีซีกล่าวว่า การโยกย้ายจากฝั่งตะวันตกไปยังตะวันออก และการผงาดขึ้นของภูมิภาคเอเชียนั้น เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่สหรัฐเดินหน้านโยบายกีดกันทางการค้า (protectionism) และในช่วงที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เกิดขึ้นทั่วโลก
นางบลายธ์คาดการณ์ว่า แนวโน้มดังกล่าวจะดำเนินต่อไป หลังจาก 15 ชาติในกลุ่มเอเชียแปซิฟิกได้ลงนามในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค" (Regional Comprehensive Economic Partnership ? RCEP) ซึ่งมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการค้าในระดับภูมิภาคต่อไป ในขณะที่ประชาชนราว 3 พันล้านคนจะถูกจัดเข้ากลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง