บิตคอยน์ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ในวันนี้ หลุดระดับ 34,000 ดอลลาร์ และใกล้หลุดระดับ 1,000,000 บาท หลังจากพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใกล้ 42,000 ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์ระบุว่า บิตคอยน์ได้รับผลกระทบจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน รวมทั้งการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนดอลลาร์แข็งค่า
ล่าสุด ณ เวลา 19.13 น.ตามเวลาไทย บิตคอยน์ดิ่งลง 3,910.50 ดอลลาร์ หรือ 10.40% สู่ระดับ 33,674.25 ดอลลาร์ หรือราว 1,010,220 บาท ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์มของ Coinbase
การร่วงลงของบิตคอยน์ส่งผลให้มูลค่าตลาดของสกุลเงินคริปโตหายไปราว 1.7 แสนล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 9.6 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากทะยานขึ้นเหนือระดับ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี บิตคอยน์ยังคงพุ่งขึ้นมากกว่า 340% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
ทางด้านผู้เชี่ยวชาญพากันเตือนว่า การทะยานขึ้นของบิตคอยน์จะสะดุดลง หลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากในขณะนี้
ทั้งนี้ นายนูเรล รูบินี หรือ ดร.ดูม ผู้ที่เคยทำนายวิกฤติซับไพร์มได้อย่างถูกต้องเมื่อทศวรรษที่แล้ว และนายปีเตอร์ ชิฟฟ์ นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ มองว่า บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์เก็งกำไรที่ไม่มีมูลค่าในตัวเอง และฟองสบู่บิตคอยน์จะระเบิดออกในที่สุด
ส่วนนายแมทท์ มาลีย์ หัวหน้านักวิเคราะห์ของบริษัทมิลเลอร์ ทาบัค กล่าวว่า บิตคอยน์อาจดิ่งลง 25-30% ในช่วงต้นปีนี้
"บิตคอยน์จะดีดตัวต่อไปในระยะสั้น และผมก็มั่นใจในระยะยาว แต่ในระยะกลาง ผมมีความวิตกมากกว่าคนอื่น" เขากล่าว
นายมาลีย์กล่าวว่า ปัจจัยทางเทคนิคบ่งชี้ว่า บิตคอยน์ได้เข้าสู่ภาวะที่มีแรงซื้อมากเกินไป และเริ่มมีภาวะฟองสบู่ ส่งผลให้บิตคอยน์จะเผชิญกับการปรับฐาน
นายมาลีย์กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2559 บิตคอยน์ได้ดิ่งลง 20% ถึง 10 ครั้ง, ร่วงลง 30% จำนวน 7 ครั้ง และ 48% จำนวน 4 ครั้ง ซึ่งนักลงทุนไม่ควรประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับการปรับตัวที่ผันผวนของบิตคอยน์
นักวิเคราะห์จากบริษัทโซเชียล แคปิตัลคาดการณ์ว่า บิตคอยน์ยังคงสามารถพุ่งขึ้นต่อไป แม้ว่าช่วงนี้ได้ดีดตัวขึ้นมากแล้ว
"บิตคอยน์อาจไปถึง 100,000 ดอลลาร์ และ 150,000 ดอลลาร์ และ 200,000 ดอลลาร์ ซึ่งจะใช้เวลานานเท่าใด ผมก็ไม่รู้ อาจจะ 5-10 ปี แต่มันจะไปถึงแน่" เขากล่าว
นายนิโคลัส ปานิเกอร์โซโกล นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนคาดการณ์ว่า ในระยะยาวบิตคอยน์มีแนวโน้มทะยานขึ้นแตะระดับ 146,000 ดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ทำให้บิตคอยน์มีแนวโน้มแข็งแกร่งมาจากการที่นักลงทุนเริ่มกระจายการลงทุนด้วยการเข้าซื้อบิตคอยน์ นอกเหนือไปจากการซื้อทองคำในช่วงที่ผ่านมา
การดีดตัวของบิตคอยน์ในครั้งนี้แตกต่างจากในปี 2560 เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากกระแสตอบรับที่คึกคักจากกลุ่มบริษัทฟินเทค และนักลงทุนรายใหญ่ในตลาด เช่น พอล ทิวดอร์ โจนส์ และสแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ โดยแตกต่างจากในปี 2560 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อย
PayPal ยักษ์ใหญ่ฟินเทค ประกาศว่า ทางบริษัทจะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถทำการซื้อขายบิตคอยน์ และสกุลเงินคริปโตอื่นๆ และในปีนี้ PayPal มีแผนที่จะให้ลูกค้าใช้สกุลเงินคริปโตในการซื้อสินค้าจากเครือข่ายร้านค้าปลีกจำนวน 26 ล้านแห่งของทางบริษัท
ทางด้าน Square ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ทางบริษัทได้เข้าซื้อบิตคอยน์มูลค่าถึง 50 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ Square ยังได้เปิดให้บริการสกุลเงินคริปโตสำหรับลูกค้าที่ใช้แอปพลิเคชั่น Cash ของทางบริษัท
บิตคอยน์ยังได้แรงหนุนจากการที่รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกพากันออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้ทำให้สกุลเงินของหลายประเทศอ่อนค่าลง โดยเฉพาะดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือครองบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือก
นอกจากนี้ ยังมีการมองว่าบิทคอยน์มีสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เช่นเดียวกับทองคำ ซึ่งนักลงทุนจะแห่เข้าซื้อในช่วงเวลาที่เกิดความตื่นตระหนก
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังใช้บิตคอยน์เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อจากการที่รัฐบาลต่างๆมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายริค ไรเดอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ของแบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวว่า ในอนาคต บิตคอยน์จะสามารถขึ้นมาทดแทนตำแหน่งของทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
"ผมคิดว่าสกุลเงินคริปโตจะยังคงอยู่ต่อไป ผมคิดว่ามันเป็นสินทรัพย์ที่คงทน โดยบิตคอยน์เป็นเครื่องมือที่คงทนซึ่งจะสามารถขึ้นมาแทนที่ทอง เพราะบิตคอยน์สามารถทำหน้าที่ได้มากกว่าทอง" นายไรเดอร์กล่าว