นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้แถลงแผนการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎรว่า แผนการช่วงแรกนี้จะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน โดยระบุว่า เด็กและเยาวชนทุกช่วงอายุจะได้รับอนุญาตให้กลับไปเรียนหนังสือในโรงเรียนและวิทยาลัยในอังกฤษได้ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.เป็นต้นไป ขณะที่นักเรียนในโรงเรียนมัธยมจะถูกกำหนดให้สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในห้องเรียนและในสถานที่ต่างๆ ที่ใช้ร่วมกัน
นับตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.เป็นต้นไป ประชาชนจะได้รับอนุญาตให้รวมกลุ่มกันในที่สาธารณะได้ไม่เกิน 2 คน ซึ่งหมายความว่า ประชาชนเหล่านี้สามารถนั่งจิบกาแฟ ดื่มเครื่องดื่ม หรือปิกนิกในที่สาธารณะ ขณะเดียวกันนับตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.เป็นต้นไป ประชาชนไม่เกิน 6 คนหรือ 2 ครัวเรือน จะได้รับอนุญาตให้รวมตัวกันนอกสถานที่ได้ ซึ่งรวมถึงการรวมตัวกันในสวนพักผ่อนส่วนตัว ขณะที่ศูนย์กีฬาภายนอก เช่นสนามเทนนิส หรือบาสเก็ตบอล จะได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดทำการอีกครั้ง
ส่วนในขั้นตอนที่ 2 นั้น ร้านค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าไม่จำเป็น ร้านทำผม และอาคารสาธารณะ เช่น ห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์ จะกลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. ขณะที่ลานเบียร์ สวนสัตว์ และสวนสนุก รวมไปถึงสถานที่ออกกำลังกายภายในอาคาร เช่นสระว่ายน้ำและยิม จะได้รับอนุญาตให้เปิดทำการเช่นกัน แต่จะต้องปฏิบัติตามกฎการเว้นระยะห่างทางสังคม
สำหรับขั้นตอนที่ 3 ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.นั้น "กฎเกณฑ์ 6 ประการ" จะถูกยกเลิกสำหรับการรวมตัวกันภายนอก หากมีข้อมูลสนับสนุนที่เพียงพอ และรัฐบาลจะอนุญาตให้ประชาชนรวมตัวกันได้จำนวนมากถึง 30 คน ขณะเดียวกันโรงภาพยนตร์ โรงแรม และงานกีฬา จะได้รับอนุญาตให้เปิดทำการอีกครั้งภายใต้กฎการเว้นระยะห่างทางสังคม ส่วนสถานที่จัดกีฬาภายนอก เช่น สนามฟุตบอล จะอนุญาตให้มีผู้เข้าชมไม่เกิน 10,000 คน
ในขั้นตอนที่ 4 ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย.นั้น รัฐบาลคาดว่าจะยกเลิกมาตรการเข้มงวดทางสังคมทั้งหมด โดยจะอนุญาตให้เปิดธุรกิจที่เคยถูกกำหนดว่าจะเปิดทำการเป็นภาคส่วนสุดท้าย เช่น ไนท์คลับ
ทั้งนี้ นายจอห์นสันกล่าวว่า รัฐบาลยังคงเดินหน้าแผนการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้กับประชาชน โดยขณะนี้มีหลักฐานชี้ชัดว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพและสามารถลดอัตราการเสียชีวิตและอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ปัจจุบันอังกฤษอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศเป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินมาตรการควบคุมที่คล้ายกันในสก็อตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ