คณะผู้นำจีนได้จัดการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) หรือ "ฉวนกั๋วเหรินต้า" ชุดที่ 13 ครั้งที่ 4 ในวันนี้ โดยมีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และผู้นำจีนคนอื่นๆ เข้าร่วมในการประชุมดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้น ณ มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง
นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจีนได้ยื่นรายงานต่อที่ประชุม NPC เพื่อทำการพิจารณา โดยมีประเด็นสำคัญซึ่งประกอบไปด้วย :
-- กำหนดเป้าหมายตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สำหรับปี 2564 ที่ระดับกว่า 6% ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลจีนมีศักยภาพในการส่งเสริมการปฏิรูป นวัตกรรม และการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง
-- กำหนดเป้าหมายในการสร้างงานใหม่ในพื้นที่เขตเมืองอีกกว่า 11 ล้านตำแหน่ง, ปรับลดตัวเลขขาดดุลงบประมาณลงเหลือ 3.2% ของ GDP อีกทั้งเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศและขยายการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคาดว่าการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนสามารถกลับมาขยายตัวได้เท่ากับช่วงก่อนที่โรคโควิด-19 จะแพร่ระบาด โดยในปี 2562 นั้น GDP จีนขยายตัว 6%
-- กำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่คำนวณจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ไว้ที่ระดับ 3% สำหรับปี 2564
-- กำหนดเป้าหมายตัวเลขขาดดุลงบประมาณในปี 2564 ที่ระดับ 3.2% ของ GDP
-- เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมในปีนี้อีก 6.8% แตะที่ 1.35 ล้านล้านหยวน (2.09 แสนล้านดอลลาร์) โดยจีนยึดมั่นในการดำเนินงานตามกลไกการจัดสรรด้านการคลังและการบริหารงบประมาณการใช้จ่ายด้านกลาโหมอย่างเคร่งครัด งบประมาณเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปในด้านบุคลากร การฝึกฝึน การคงสถานะ และด้านอุปกรณ์
อย่างไรก็ดี งบประมาณด้านกลาโหมของจีนมีสัดส่วนเพียง 1 ใน 4 ของงบประมาณด้านกลาโหมของสหรัฐซึ่งอยู่ที่ 7.405 แสนล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2564
-- ประกาศแผนกระตุ้นการบริโภคในทุกภาคส่วน และขยายโอกาสการลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 (2564-2568) รวมถึงเป้าหมายระยะยาวซึ่งกำหนดไว้จนถึงปี 2578
ขณะเดียวกัน จีนจะรักษาเสถียรภาพและเพิ่มการบริโภคอันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะใช้ศักยภาพของตลาดภายในประเทศอย่างเต็มที่ รวมทั้งขยายอุปสงค์ภายในประเทศ
-- ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ (CO2) ลงเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2603 พร้อมกับส่งเสริมการใช้ถ่านหินอย่างสะอาดและมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการเร่งพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ๆ และพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์โดยอยู่บนพื้นฐานของการใช้งานที่ปลอดภัย
เป้าหมายดังกล่าวของรัฐบาลจีนสอดคล้องกับที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้ให้คำมั่นไว้ในระหว่างการประชุม UN เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2563 ว่า จีนจะบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซ CO2 ลงเป็นศูนย์ให้ได้ก่อนปี 2603 ซึ่งถือเป็นการผลักดันนโยบายการลดโลกร้อนที่มีความสำคัญมากที่สุดในรอบหลายปี และหากจีนสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ ก็จะช่วยให้ความร้อนทั่วโลกลดลงราว 0.2-0.3 องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้
-- ประกาศแผนป้องกันและรับมือการเข้าแทรกแซงจากต่างประเทศในประเด็นที่เกี่ยวกับฮ่องกง โดยจะใช้กลไกทางกฎหมายและการออกกฎเพื่อป้องกันความมั่นคงในฮ่องกง
-- ปรับเปลี่ยนแนวนโยบายวางแผนครอบครัวให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และหาทางลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์และคลอดบุตร, การเลี้ยงดูบุตร และการศึกษา เพื่อเพิ่มอัตราการเกิดภายในประเทศ
-- ผลักดันการพัฒนาที่มีเสถียรภาพทั้งการนำเข้าและการส่งออกด้วยมาตรการต่างๆ เพื่อมุ่งส่งเสริมรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ รวมถึง อี-คอมเมิร์ซข้ามพรมแดน โดยเชื่อว่าแผนการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มการนำเข้าสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ และรับประกันความสำเร็จของการจัดนิทรรศการที่สำคัญๆ ได้แก่ มหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติจีน (CIIE), งานแสดงสินค้านำเข้าและส่งออกจีน และงานแสดงสินค้าภาคบริการนานาชาติจีน (CIFTIS)
นอกจากนี้ จีนยังให้คำมั่นที่จะปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายให้แก่บริษัทที่ลงทุนโดยต่างชาติ
-- เพิ่มการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ประจำปีมากกว่า 7% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และประกาศแผนดำเนินนโยบายการลดหย่อนภาษีพิเศษ 75% สำหรับค่าใช้จ่ายด้าน R&D ขององค์กรต่างๆ และขยายรูปแบบการให้กู้ยืมแบบจ่ายตามการใช้งาน เพื่อเพิ่มช่องทางระดมทุนให้กับนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปีนี้
-- ตั้งเป้าเพิ่มวงเงินกู้ให้กับธุรกิจ SME อีกกว่า 30% และจะช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถขยายเวลาในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยกู้ นอกจากนี้ จะผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือบริษัทและอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19