ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ ขานรับข่าวประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐลงนามในร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2563
-- ปธน.ไบเดนได้ลงนามในร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์แล้วเมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ (11 มี.ค.) หลังจากร่างกฎหมายได้ผ่านความเห็นชอบจากทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับล่าสุดนี้นับเป็นฉบับที่ 6 ที่สภาคองเกรสสหรัฐให้การอนุมัตินับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อกว่า 1 ปีที่ผ่านมา และการลงนามของปธน.ไบเดนจะทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกบังคับใช้เป็นกฎหมายก่อนวันที่ 14 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่มาตรการช่วยเหลือผู้ว่างงานในปัจจุบันจะหมดอายุลง
-- คาดตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดในแดนบวก ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ รับข่าวประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐลงนามในร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
-- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมนโยบายการเงินเมื่อคืนนี้ ขณะที่ ECB ยังคงจับตาเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ ที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
-- Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้อยู่ที่ 118,778,939 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 2,634,572 ราย
ขณะนี้ สหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุดในโลก (29,863,141) รองลงมาคืออินเดีย (11,287,543), บราซิล (11,205,972), รัสเซีย (4,360,823), สหราชอาณาจักร (4,234,924), ฝรั่งเศส (3,963,165), สเปน (3,178,442) และอิตาลี (3,123,368)
-- กระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซียเปิดเผยว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีจำนวน 5,144 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1,403,722 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
-- กระทรวงสาธารณสุขและการกีฬาของเมียนมาแถลงว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีจำนวน 41 ราย ส่งผลให้ขณะนี้เมียนมามีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมอยู่ที่ 142,114 ราย
-- สำนักงานยาแห่งยุโรป (EMA) ประกาศอนุมัติการใช้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ในสหภาพยุโรป (EU)
ทั้งนี้ EMA ให้การอนุมัติการใช้วัคซีนของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปี หลังจากที่ EMA ได้ทำการตรวจสอบและประเมินข้อมูลของทางบริษัท
ก่อนหน้านี้ EMA ได้อนุมัติการใช้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของไฟเซอร์, โมเดอร์นา และแอสตร้าเซนเนก้า แต่วัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน สามารถฉีดเพียงโดสเดียว ขณะที่วัคซีนของอีก 3 บริษัทจำเป็นต้องฉีด 2 โดส
-- กระทรวงสาธารณสุขเดนมาร์กประกาศระงับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าเป็นการชั่วคราว หลังมีรายงานกรณีการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในผู้ที่ได้รับวัคซีนบางราย นอกจากนี้ ทางการออสเตรียก็ได้ประกาศระงับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเช่นกัน หลังมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากอาการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ และบางคนมีอาการลิ่มเลือดอุดตันในปอดหลังได้รับวัคซีน
-- นายพลจัตวา ซอ มิน ตุน โฆษกสภาบริหารแห่งรัฐของเมียนมา กล่าวว่า นางออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมา ได้รับเงินผิดกฎหมายจำนวน 600,000 ดอลลาร์ หรือราว 18.3 ล้านบาท พร้อมกับทองคำจำนวนหนึ่งในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งในรัฐบาล
-- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แถลงว่า ทาง IMF มีความกังวลอย่างมากต่อสถานการณ์ตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในเมียนมา
"เรามีความกังวลอย่างมากต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบต่อประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะความพยายามในการแก้ไขวิกฤตการณ์โควิด-19 และการให้ความช่วยเหลือกลุ่มที่เปราะบางที่สุด" แถลงการณ์ระบุ
นอกจากนี้ IMF ได้ระงับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับผู้นำกองทัพของเมียนมา จนกว่าจะมีความชัดเจนต่อสถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมา
-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 712,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 725,000 ราย
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ปรับเพิ่มตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ สู่ระดับ 754,000 ราย จากเดิมรายงานที่ระดับ 745,000 ราย
อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานยังคงสูงกว่าระดับในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งไม่เคยเกินระดับ 700,000 ราย
สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.9 ล้านตำแหน่งในเดือนม.ค. จาก 6.8 ล้านตำแหน่งในเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ ตัวเลข JOLTS นับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสนใจ โดยมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของเฟด
-- นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 16-17 มี.ค.นี้ เพื่อดูท่าทีของเฟดเกี่ยวกับแนวโน้มการดีดตัวขึ้นของเงินเฟ้อที่เป็นผลมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.พ. ซึ่งจะมีการรายงานเวลา 20.30 น. ตามเวลาไทย ต่อด้วยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน เวลา 22.00 น.