นายจิม แครอน ผู้จัดการพอร์ทโฟลิโอตราสารหนี้โลกของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล และเป็นการสะท้อนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
"ความเชื่อมั่นของนักลงทุนมาจากการที่รัฐต่างๆกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง ขณะที่ชาวอเมริกันรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 มากขึ้น ซึ่งทำให้อัตราการติดเชื้อลดลง นอกจากนี้ เม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และโครงการช่วยเหลือการจ้างงาน ก็ได้เป็นปัจจัยทำให้ผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่าย และมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น" นายแครอนกล่าว
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นเหนือระดับ 1.74% เมื่อวานนี้ แตะระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 2.5% แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าเฟดไม่มีแผนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ และยังไม่มีแผนปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ขณะเดียวกัน เฟดได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2564 สู่ระดับ 6.5% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 4.2%
นายแครอนกล่าวว่า การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐไม่ได้เป็นสิ่งที่แสดงถึงภาวะตึงตัวทางการเงิน และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ทำให้เกิดเงินเฟ้อรุนแรงตามที่มีความกังวลในตลาด
ทางด้านนายไมเคิล สเปนเซอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของดอยซ์แบงก์ กล่าวว่า "ทุกคนมีความเชื่อมั่นต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเราเชื่อว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 7.5% ในปีนี้"
นายสเปนเซอร์ยังกล่าวว่า "เป็นเรื่องปกติที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวจะดีดตัวขึ้น และเราคาดว่าในช่วงปลายปีนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 2.25% หรือสูงกว่านั้น"
อย่างไรก็ดี สถาบันวิจัยเนด เดวิสคาดการณ์ว่า ดัชนี Nasdaq ซึ่งประกอบด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจำนวนมาก จะทรุดตัวลงอีก 20% หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งแตะระดับ 2%