กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า ในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นวงเงินสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี เนื่องจากคาดการณ์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19
นักลงทุนต่างชาติเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในเดือนก.พ.สูงถึง 6.546 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีหรือนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2562 เมื่อเทียบกับเดือนม.ค.ที่นักลงทุนต่างชาติเทขายพันธบัตรสหรัฐจำนวน 4.913 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานั้น นักลงทุนต่างชาติเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทั้งสิ้น 9 เดือน
นักวิเคราะห์จากบริษัททีดี ซิเคียวริตีส์ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า นักลงทุนจำนวนมากวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและได้ตัดสินใจเทขาย เนื่องจากกังวลว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะสูงขึ้น โดย ณ สิ้นเดือนก.พ. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีอยู่ที่ระดับ 1.456% เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.077% ในช่วงต้นเดือน
รายงานระบุว่า ญี่ปุ่นลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐในเดือนก.พ.ลงมาอยู่ที่ระดับ 1.258 ล้านล้านดอลลาร์ จากระดับ 1.276 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นยังคงเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรายใหญ่สุดของสหรัฐ
ส่วนจีนได้เพิ่มการถือครองพันธบัตรสหรัฐในเดือนก.พ.สู่ระดับ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ จากเดือนม.ค.ที่ระดับ 1.09 ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ รายงานยังระบุด้วยว่า นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้นของสหรัฐในเดือนก.พ.ที่ระดับ 1.399 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.ที่ระดับ 1.1868 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหุ้นของสหรัฐติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 แล้ว