นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า จีนมีความก้าวหน้าในการพลิกโฉมเศรษฐกิจประเทศโดยอาศัยเทคโนโลยี ขณะเดียวกัน ตลาดเกิดใหม่หลายแห่งก็ได้รับแรงหนุนจากแรงขับเคลื่อนทางด้านดิจิทัลเช่นเดียวกับจีน
นางจอร์เจียวากล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม Boao Forum for Asia (BFA) ในวันนี้ โดยเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงระดับโลกในด้านหลักๆ 3 ด้านซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล โดยมีการระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่ง
นางจอร์เจียวาระบุว่า ในบรรดากลุ่มเศรษฐกิจที่มีโครงสร้างในภาคเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ในโลก โดยเมื่อพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะพบว่า มี 13 จาก 30 ประเทศอยู่ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่
"เพื่อคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้ รัฐบาลควรเพิ่มการลงทุนเพื่อสร้างระบบอัจฉริยะให้ประชาชนได้เข้าถึง โดยเฉพาะการลงทุนในทักษะและโครงสร้างด้านดิจิทัลเพื่อสร้างกำลังคนสำหรับศตวรรษที่ 21" นางจอร์เจียวากล่าว
ผู้อำนวยการ IMF กล่าวว่า สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่งได้แก่ การเปลี่ยนแปลงจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจไปสู่ช่วงฟื้นตัว
นางจอร์เจียวายังระบุถึง การที่ IMF คาดการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 6% ในปีนี้ และ 4.4% ในปี 2565 โดยได้แรงหนุนจากการแทรกแซงโดยรัฐบาลที่มากกว่าปกติ รวมถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น
ส่วนการเปลี่ยนแปลงประการสุดท้ายได้แก่ การมุ่งไปสู่การเติบโตแบบคาร์บอนต่ำและยืดหยุ่นเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยผู้อำนวยการ IMF ยังแสดงความยินดีที่จีนให้คำมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เหลือศูนย์ในปี 2603
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จากบทวิเคราะห์ของ IMF การผลักดันให้มีโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวร่วมกับการกำหนดราคาคาร์บอน (carbon pricing) จะช่วยให้ GDP โลกเพิ่มขึ้น 0.7% ต่อปีในอีก 15 ปีข้างหน้า และจะสร้างงานหลายล้านตำแหน่งด้วย