สภาหอการค้าสหรัฐเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐยุติการให้เงินเยียวยาผู้ที่ตกงานจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในตลาด
"ตัวเลขการจ้างงานที่น่าผิดหวังทำให้เห็นได้ชัดว่าการจ่ายเงินสำหรับผู้ที่ไม่ได้ไปทำงานกำลังส่งผลกระทบต่อตลาด" นายนีล แบรดลีย์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านนโยบายของสภาหอการค้าสหรัฐ ระบุในแถลงการณ์
"ตามการวิเคราะห์ของสภาหอการค้าพบว่า การจ่ายเงิน 300 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ให้แก่ผู้ที่ตกงาน ทำให้ผู้ที่ได้รับเงิน 1 ใน 4 มีรายได้ขณะตกงานมากกว่าไปทำงาน" แถลงการณ์ระบุ
ทั้งนี้ รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาชาวอเมริกันและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยหนึ่งในมาตรการดังกล่าว ได้แก่ การส่งเช็คเงินสดไปให้ผู้ที่ตกงานเป็นเงิน 300 ดอลลาร์/สัปดาห์จนถึงเดือนก.ย.
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ระบุว่ามาตรการแจกเงินแก่คนตกงานดังกล่าว ได้ลดแรงจูงใจที่จะทำให้แรงงานกลับเข้าตลาด และเป็นสาเหตุทำให้ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรต่ำกว่าคาดในเดือนเม.ย.
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 266,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1,000,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.1% ในเดือนเม.ย. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 5.8%
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่ตัวเลขการจ้างงานต่ำกว่าคาดในเดือนเม.ย. มีสาเหตุจากปัญหาการขาดแคลนแรงงาน หลังจากที่รัฐต่างๆผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 6.4% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นตัวเลขการขยายตัวสูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2546 ส่งผลให้อุปสงค์ในตลาดแรงงานพุ่งขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจเกิดภาวะขาดแคลนแรงงานและวัตถุดิบ นับตั้งแต่ภาคการผลิตไปจนถึงร้านอาหาร
นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนแรงงานยังมีสาเหตุจากการที่ผู้ปกครองยังคงต้องอยู่บ้านดูแลบุตร และการที่รัฐบาลสหรัฐออกมาตรการเยียวยาชาวอเมริกันที่ได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยการส่งเช็คเงินสดไปให้ผู้ที่ตกงาน ซึ่งได้ลดแรงจูงใจในการเข้าตลาดแรงงานในระยะนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าการจ้างงานจะกลับสู่ภาวะปกติในเดือนก.ย. ซึ่งมาตรการเยียวยาของรัฐบาลมีกำหนดสิ้นสุดในช่วงเวลาดังกล่าว