บริษัทเดลล์และเอชพีเปิดเผยรายได้รายไตรมาสที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีท เนื่องจากผู้บริโภคยังคงต้องการซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) แม้ว่ารัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกได้ผ่อนคลายมาตรการที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ลงแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นเดลล์ร่วงลง 1% ขณะที่ราคาหุ้นเอชพีทรุดตัวลงถึง 6% หลังจากทั้งสองบริษัทเตือนว่า ภาวะขาดแคลนชิปสำหรับคอมพิวเตอร์จะส่งผลให้ทางบริษัทไม่สามารถผลิตแล็ปท็อปได้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าในปีนี้ นายโธมัส สวีท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของเดลล์กล่าวว่า ต้นทุนการจัดซื้อชิปที่สูงขึ้นนั้น จะฉุดรายได้จากการดำเนินงานในไตรมาสปัจจุบันลดลง และจะส่งผลให้รายได้โดยรวมปรับตัวลงด้วย
ขณะที่เอชพี ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายพีซีรายใหญ่อันดับสองของโลกตามข้อมูลจากบริษัทวิจัย IDC กล่าวว่า ภาวะขาดแคลนชิปจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการจัดหาอุปกรณ์พีซีและเครื่องพิมพ์เป็นเวลาอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ดี เอชพีและเดลล์ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อภาพรวมของตลาด โดยคาดว่าความต้องการแล็ปท็อปสำหรับคนวัยทำงานและนักเรียนจะพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประชาชนยังจำเป็นต้องทำงานทางไกล
ข้อมูลจาก IDC ระบุว่า ยอดการจัดส่งแล็ปท็อปและพีซีทั่วโลกในไตรมาสแรกปีนี้พุ่งขึ้น 55.2%
สำหรับผลประกอบการของเดลล์ที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ระบุว่า รายได้รวมในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 12% แตะที่ 2.449 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.340 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่รายได้รวมของเอชพีอยู่ที่ 1.59 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์