นักลงทุนทั่วโลกจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการประชุมสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนี CPI ทั่วไป ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในวันนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไปจะพุ่งขึ้น 4.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 หลังจากดีดตัวขึ้น 4.2% ในเดือนเม.ย.
นอกจากนี้ คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะพุ่งขึ้น 3.5% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 28 ปี หลังจากดีดตัวขึ้น 3.0% ในเดือนเม.ย.
ทางด้านไดแอน สวองค์ นักวิเคราะห์จากแกรนท์ ธอร์นตัน คาดว่าดัชนี CPI ทั่วไปจะพุ่งขึ้นถึง 5% ในเดือนพ.ค. ขณะที่มาร์ก แซนดี นักวิเคราะห์จากมูดี้ส์ อนาลิติกส์ คาดว่า ดัชนี CPI พื้นฐานจะพุ่งขึ้น 3.65% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเทียบเท่ากับระดับในเดือนก.ค.2535
ก่อนหน้านี้ ดัชนี CPI ของสหรัฐดีดตัวขึ้นสูงเกินคาดในเดือนเม.ย. และหากดัชนียังคงปรับตัวอย่างร้อนแรงในเดือนพ.ค. ก็อาจทำให้เฟดส่งสัญญาณเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 15-16 มิ.ย.
นักวิเคราะห์ระบุว่า การพุ่งขึ้นของดัชนี CPI ประจำเดือนเม.ย.เมื่อเทียบรายเดือน มีสาเหตุจากการดีดตัวขึ้นของราคาพลังงาน ส่วนการพุ่งขึ้นของดัชนี CPI เมื่อเทียบรายปี มีสาเหตุจากการเปรียบเทียบกับตัวเลขฐานที่ต่ำผิดปกติในเดือนเม.ย.2563 ซึ่งขณะนั้นราคาสินค้าได้ทรุดตัวลงโดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และจากการประกาศมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งจะทำให้ตัวเลขดัชนี CPI เมื่อเทียบรายปี ถูกบิดเบือนจากความเป็นจริงต่อไปอีกหลายเดือน เนื่องจากมีการเปรียบเทียบกับราคาสินค้าที่ต่ำผิดปกติในปี 2563
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บางรายคาดว่าเฟดจะเริ่มหารือกันเกี่ยวกับการปรับลดวงเงิน QE จากระดับ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือนในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮลในเดือนส.ค. และจะเริ่มดำเนินการปรับลด QE ในเดือนธ.ค.หรือต้นปีหน้า ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566