ทีมนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคซึ่งนำโดยนายนิโคลัส ปานีเกอร์โซกลูได้แสดงความเห็นว่า แม้ราคาบิตคอยน์เริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ก็มีสัญญาณบ่งชี้ถึงความผันผวนของราคา โดยเฉพาะในเดือนพ.ค.ซึ่งราคาบิตคอยน์ถูกกระหน่ำขายออกมาอย่างหนัก
"เราเชื่อว่า การที่ราคาบิตคอยน์ทรุดตัวลงในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นสัญญาณด้านลบที่บ่งชี้ถึงภาวะซบเซาของตลาดสกุลเงินคริปโต นอกจากนี้ การร่วงลงของราคาบิตคอยน์ซึ่งส่งผลให้มูลค่าตลาดคริปโตทรุดตัวลงด้วยนั้น นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เรากังวลเกี่ยวกับทิศทางของตลาด" ทีมนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนกล่าว
การวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนอยู่บนพื้นฐานของราคาเฉลี่ยในรอบ 21 วันของบิตคอยน์ในตลาดล่วงหน้าที่มีผลต่อราคาในตลาดสปอต และพบว่า ราคาบิตคอยน์ในตลาดล่วงหน้าเข้าสู่ภาวะ Backwardation ซึ่งเคยเกิดขึ้นส่วนใหญ่ในปี 2561 โดยในปีดังกล่าว ราคาบิตคอยน์ร่วงลงถึง 74% หลังจากทะยานขึ้นในช่วงก่อนหน้านั้น
ตลาดบิตคอยน์เข้าสู่ภาวะ Backwardation เมื่อราคาในอนาคตอยู่ต่ำกว่าราคาในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบรรดานักลงทุนสถาบันมีความต้องการบิตคอยน์ลดลง และมักจะเกิดขึ้นในสภาวะตลาดหมี (bear market)
ข้อมูลจาก CoinGecko ระบุว่า ปัจจุบันบิตคอยน์มีสัดส่วนในมูลค่าตลาดโดยรวมของสกุลเงินคริปโตประมาณ 42% ซึ่งลดลงจากระดับ 70% ในช่วงต้นปีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งมองว่า ข้อมูลดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่านักลงทุนรายย่อยเริ่มหันไปให้ความสนใจสกุลเงินคริปโตอื่นๆ
ราคาบิตคอยน์ร่วงลงหลุดระดับ 40,000 ดอลลาร์ในช่วงกลางเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลจีนประกาศห้ามไม่ให้สถาบันการเงินให้บริการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมสกุลเงินคริปโต โดยจีนกังวลว่าความผันผวนของสกุลเงินคริปโตจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของทรัพย์สินของประชาชน และส่งผลกระทบต่อความเป็นระเบียบในระบบเศรษฐกิจและการเงิน"
นอกจากนี้ ราคาบิตคอยน์ยังได้รับแรงกดดันจากการทวีตข้อความรายวันของนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอบริษัทเทสลา ซึ่งรวมถึงการที่นายมัสก์ระบุว่า เทสลาจะไม่รับบิตคอยน์ในการซื้อรถยนต์ โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการขุดบิทคอยน์จำเป็นต้องใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลจำนวนมาก