นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารเจพีมอร์แกน เชสเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เจพีมอร์แกนยังคงตุนเงินสดเอาไว้ แทนที่จะนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือลงทุนในด้านอื่นๆ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่า การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้ออาจจะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นายไดมอนกล่าวว่า เจพีมอร์แกนซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับหนึ่งของสหรัฐเมื่อพิจารณาในแง่สินทรัพย์นั้น ได้วางสถานะตนเองไว้ว่าจะได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเปิดทางให้ธนาคารเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า
"เรามีเงินสดจำนวนมากและมีศักยภาพสูงมาก และเราจะอดทนรอคอย เพราะเราคิดว่ามีโอกาสสูงมากที่ภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะของการเปลี่ยนผ่าน เจพีมอร์แกนมีเงินสดในงบดุลบัญชีสูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ เรายังคงตุนเงินสดเพิ่มอย่างต่อเนื่อง และรอโอกาสที่จะเข้าลงทุนเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ผมคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นและอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นด้วย ซึ่งเราต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้" นายไดมอนกล่าว
การคาดการณ์ของนายไดมอนสอคคล้องกับนายเจมส์ กอร์แมน ซีอีโอของมอร์แกน สแตนลีย์ซึ่งเปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า เขาเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นอีกเป็นเวลานาน และจะผลักดันให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ นายไดมอนยังได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับปัจจัยคุกคามที่เกิดจากธุรกิจเทคโนโลยีด้านการเงินหรือฟินเทค และบรรดาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซึ่งรวมถึง PayPal โดยระบุว่า บริษัทเหล่านี้มีทุนจดทะเบียนในตลาดสูงกว่าธนาคารเกือบทุกแห่งในสหรัฐรวมกัน