กระทรวงการคลังของอิสราเอลเปิดเผยในวันพฤหัสบดี (29 ก.ค.) ว่า ฟิทช์ เรทติ้งส์ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของอิสราเอลที่ A+ พร้อมด้วยแนวโน้มมีเสถียรภาพ
ฟิทช์ระบุในรายงานว่า การคงอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงและมีความหลากหลาย ซึ่งสามารถฟื้นตัวหลังได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 และยังเป็นผลมาจากสถานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่ง รวมถึงความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินขณะที่รัฐบาลมีหนี้สินในระดับสูง
ฟิทช์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของอิสราเอลซึ่งหดตัวลง 2.6% ในปี 2563 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 นั้น มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 5.1% ในปี 2564 และเพิ่มขึ้น 5.7% ในปี 2565
ทั้งนี้ เศรษฐกิจของอิสราเอลสามารถกลับมาฟื้นตัวหลังได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ได้ดีกว่าหลายประเทศในการจัดอันดับของฟิทช์ ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงคืบหน้าอย่างรวดเร็วของอิสราเอลในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชน
นอกจากนี้ ฟิทช์ยังคาดการณ์ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของอิสราเอลในปี 2564 จะอยู่ที่ราว 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งลดลงจากระดับ 11.6% ในปี 2563 พร้อมทั้งคาดว่าในปี 2565 จะลดลงใกล้แตะระดับ 5% และอยู่ที่ระดับ 3% ของ GDP ในปี 2566
อย่างไรก็ดี รายงานของฟิทช์ได้ระบุเตือนถึงความเสี่ยงทางการเงินที่สำคัญ ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นมาจากการที่ฝั่งรัฐบาลครองเสียงข้างมากในสภามากกว่าฝ่ายค้านเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการกำหนดนโยบาย
รายงานยังระบุว่า การใช้จ่ายของรัฐบาลยังเผชิญแรงกดดันจากความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและอัตราการจ้างงานที่ยังต่ำอยู่
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของอิสราเอลได้ถูกกดดันจากปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคง ซึ่งรวมถึงความไร้เสถียรภาพในซีเรียและความสัมพันธ์กับอิหร่าน อย่างไรก็ดี อันดับความน่าเชื่อของอิสราเอลสะท้อนถึงการกลับมาฟื้นตัวหลังเผชิญความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นระยะได้