ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้นกว่า 150 จุดในช่วงเช้าวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรในการซื้อขายวันแรกของเดือนส.ค. ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง เจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม)
ณ เวลา 07.39 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้น 153 จุด หรือ +0.44% แตะที่ 34,985 จุด
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด โดยในสัปดาห์นี้จะเป็นการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจีเอ็ม, Lyft, แอมเจน, ซีวีเอส เฮลธ์ และสแควร์
ข้อมูลจาก FastSet ระบุว่า บริษัทในดัชนี S&P500 ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 แล้วประมาณ 59% โดยในจำนวนนี้มีบริษัทราว 88% ที่รายงานผลประกอบการสูงกว่าคาด
-- ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงเกือบ 1.5% ในช่วงเช้านี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของภาคการผลิตจีน รวมทั้งรายงานที่ว่า การผลิตน้ำมันในเดือนก.ค.ของกลุ่มโอเปกพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน
ณ เวลา 09.45 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1.08 ดอลลาร์ หรือ 1.46% แตะที่ 72.87 ดอลลาร์/บาร์เรล
มาร์กิตและไฉซินเปิดเผยผลสำรวจในวันนี้ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ค.ของจีนร่วงลงแตะระดับ 50.3 จากระดับ 51.3 ในเดือนมิ.ย. โดยดัชนี PMI เดือนก.ค.อยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 51.1
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ผลิตน้ำมันดิบในเดือนก.ค.ในปริมาณ 26.72 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563 และเพิ่มขึ้น 610,000 บาร์เรลต่อวันจากเดือนมิ.ย.
-- นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวและผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (NIAID) คาดการณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐจะไม่กลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์ แม้มีความเสี่ยงที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา
"ผมไม่คิดว่าเราจะกลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง ผมมั่นใจว่าเราได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งแม้ว่ายังไม่มากพอที่จะเอาชนะการแพร่ระบาด แต่ก็มากพอที่จะไม่ทำให้เราต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเหมือนกับในช่วงฤดูหนาวปีที่แล้ว" นายแพทย์เฟาชีกล่าวให้สัมภาษณ์กับรายการ "This Week" ของสถานีโทรทัศน์ ABC เมื่อวานนี้
-- Square ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคของสหรัฐ และ Afterpay ธุรกิจด้านการชำระเงินออนไลน์ของออสเตรเลีย ประกาศว่า Square จะเข้าซื้อกิจการของ Afterpay ในวงเงินประมาณ 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อคว้าประโยชน์จากบริการรับชำระเงินแบบซื้อก่อน จ่ายทีหลัง (buy now, pay later) ซึ่งกำลังมาแรงในยุคโรคระบาด
การทำธุรกรรมซื้อกิจการครั้งนี้จะอยู่ในรูปหุ้นทั้งหมด และจะนำไปสู่การสร้างธุรกิจรับชำระเงินออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ซึ่งช่วยเร่งการเติบโตของ Afterpay ในสหรัฐและทั่วโลก หลังจากที่บริการของ Afterpay ได้รับความนิยมจนกลายเป็นกระแสหลักเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากประชาชนหันมาซื้อของใช้ประจำวันด้วยเงินผ่อนมากขึ้นในช่วงโรคระบาด
-- วอลมาร์ท อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทนายจ้างเอกชนรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ได้สั่งให้พนักงานของบริษัทที่สำนักงานใหญ่และในระดับภูมิภาคเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ภายในวันที่ 4 ต.ค.นี้ เช่นเดียวกับกูเกิลที่ได้ออกคำสั่งดังกล่าวซึ่งอาจจะกำหนดเป็นมาตรฐานสำหรับบริษัทในสหรัฐ ขณะที่ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตายังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง
นายดั๊ก แมคมิลลอน ซีอีโอของวอลมาร์ทระบุในบันทึกของบริษัทเมื่อวันศุกร์ (30 ก.ค.) ว่า คำสั่งให้พนักงานฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 นั้นครอบคลุมพนักงานด้านการตลาด, พนักงานระดับภูมิภาคและพนักงานที่ปฎิบัติงานตามศูนย์ต่างๆ
นอกจากนี้ วอลมาร์ทยังสั่งให้พนักงานหน้าร้านและตามคลังสินค้ากลับมาใส่หน้ากากอนามัยอีกครั้ง รวมทั้งเพิ่มแรงจูงใจให้พนักงานฉีดวัคซีนด้วยการแจกเงินสดเพิ่มเป็น 150 ดอลลาร์
-- นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐจะเดินทางเยือนเวียดนามและสิงคโปร์ในเดือนนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะขอการสนับสนุนจากนานาประเทศเพื่อต้านทานอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีน
นางซีโมน แซนเดอร์ส โฆษกของนางแฮร์ริสเปิดเผยว่า นางแฮร์ริสจะหารือเรื่องความมั่นคงระดับภูมิภาค, การรับมือกับโรคโควิด-19, การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และความพยายามร่วมกันในการส่งเสริมความเป็นระเบียบระหว่างประเทศ
ทำเนียบขาวเปิดเผยแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์เพื่อสรุปเกี่ยวกับแผนการเดินทางของนางแฮร์ริสว่า "ประธานาธิบดีโจ ไบเดนและรองประธานาธิบดีแฮร์ริสได้ให้ความสำคัญสูงสุดในการสร้างพันธมิตรระดับโลกของเราขึ้นมาใหม่ และรักษาประเทศของเราให้ปลอดภัย โดยการเดินทางเยือนต่างประเทศที่จะเกิดขึ้นนั้น จะเป็นการสานต่อภารกิจนั้น"
-- นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เฟดควรเริ่มปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้
นอกจากนี้ นายบูลลาร์ดกล่าวว่า เฟดควรปรับลดวงเงิน QE อย่างรวดเร็ว เพื่อให้โครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ยุติลงในช่วงต้นปี 2565 และปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีดังกล่าว
ปัจจุบัน เฟดซื้อตราสารหนี้ตามมาตรการ QE ในวงเงิน 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์
-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจในวันนี้ โดยอินโดนีเซียเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนก.ค., ญี่ปุ่นเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค., เยอรมนีเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย. ทางด้านมาร์กิตเตรียมเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ค.ของเยอรมนี สหรัฐ ฝรั่งเศส และอียู ทางด้านสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) มีกำหนดเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ค.