นักลงทุนจับตาทิศทางตลาดหุ้นเอเชียในวันนี้อย่างใกล้ชิด หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยนักลงทุนส่วนหนึ่งคาดการณ์ว่า การพุ่งขึ้นของตัวเลขจ้างงานอาจผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รวมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานเมื่อวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 943,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 845,000 ตำแหน่ง จากระดับ 938,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.
ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 5.4% ในเดือนก.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 5.7% หลังจากแตะระดับ 5.9% ในเดือนมิ.ย.
-- ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.นี้ โดยคาดว่าเฟดอาจส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงิน QE หลังการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย โดยในวันพุธนี้ สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค. จากนั้นในวันพฤหัสบดีจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค.
-- ราคาทองฟิวเจอร์ร่วงลงกว่า 50 ดอลลาร์ในช่วงเช้านี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนก.ค.อาจผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รวมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ณ เวลา 06.53 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 51.50 ดอลลาร์ หรือ 2.57% แตะที่ 1,711.60 ดอลลาร์/ออนซ์
-- ราคาน้ำมัน WTI ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดดิ่งหลุดจากระดับ 68 ดอลลาร์ในช่วงเช้านี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
ณ เวลา 07.15 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 1.25 ดอลลาร์ หรือ 1.83% แตะที่ 67.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา โดยรายงานระบุว่าญี่ปุ่นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายจังหวัดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่จีนออกมาตรการคุมเข้มในหลายเมือง รวมทั้งยกเลิกเที่ยวบิน และการขนส่งในภาคสาธารณะ
-- กรุงโตเกียวของญี่ปุ่นรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 4,066 รายเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของมหกรรมโตเกียวโอลิมปิก นับว่ามีผู้ติดเชื้อรายวันเกิน 4,000 รายเป็นวันที่ 5 ติดต่อกันแล้ว ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นได้ประกาศใช้มาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในอีก 8 จังหวัด ได้แก่ ฟุกุชิมะ อิบารากิ โทชิงิ กุมมะ ชิซุโอกะ ไอจิ ชิงะ และคุมาโมโตะ หลังจากที่มีการประกาศคุมเข้มในโตเกียวและอีก 5 จังหวัดก่อนหน้านี้
มาตรการดังกล่าวประกอบด้วยการบังคับให้ร้านอาหารปิดร้านเวลา 20.00 น. และงดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมีผลบังคับใช้ไปจนถึงสิ้นเดือนนี้
-- หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า กลุ่มธุรกิจที่มีอิทธิพลในสหรัฐได้เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐรื้อฟื้นการเจรจาการค้ากับจีน และแก้ปัญหาเรื่องภาษีที่เป็นผลพวงมาจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
กลุ่มธุรกิจได้ยื่นจดหมายต่อสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และกระทรวงการคลัง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่มีการบังคับใช้นับตั้งแต่เกิดสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ
จดหมายดังกล่าวระบุว่า "ภาษีดังกล่าวส่งผลให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ในสหรัฐต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นในการผลิตสินค้าและให้บริการในประเทศ ทั้งยังทำให้การส่งออกสินค้าและบริการมีความสามารถในการแข่งขันลดลงในต่างประเทศ"
-- กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ประกาศว่าจะเริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ในการควบคุมโรคโควิด-19 ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วสามารถนั่งรับประทานอาหารภายในร้านเป็นกลุ่มได้จำนวน 5 คน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ 10 ส.ค.นี้
ทั้งนี้ การผ่อนคลายข้อจำกัดดังกล่าวมีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลสิงคโปร์คาดว่า ประชาชนมากกว่า 70% จะได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบโดสภายในวันที่ 9 ส.ค.นี้
นอกจากนี้ รัฐบาลสิงคโปร์จะกลับมาเริ่มอนุมัติให้ผู้เดินทางที่ถือบัตรทำงานที่ได้รับการฉีดวัคซีนและผู้ที่อยู่ในความอุปการะของพวกเขาที่มีประวัติการเดินทางไปยังประเทศที่มีความเสี่ยงสูงนั้น สามารถเดินทางเข้าสู่สิงคโปร์ได้ตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.นี้เป็นต้นไป
-- ศุลกากรจีนเปิดเผยข้อมูลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ยอดส่งออกของจีนในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 19.3% เมื่อเทียบรายปี และยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 28.1%
อย่างไรก็ตาม ยอดส่งออกและนำเข้าของจีนชะลอตัวลงจากเดือนมิ.ย.ซึ่งเพิ่มขึ้น 32.2% และ 36.7% ตามลำดับ
ทั้งนี้ จีนมียอดเกินดุลการค้า 5.658 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นจาก 5.153 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. โดยจีนมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐ 3.54 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นจาก 3.258 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.
ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ จีนมียอดเกินดุลการค้า 2.0032 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1.6492 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
-- นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในวันนี้ โดยทางการจีนมีกำหนดเปิดเผย ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค. และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค. ขณะที่อียูมีกำหนดเปิดเผยดุลการค้าเดือนมิ.ย. ทางด้านสหรัฐเตรียมเปิดเผยตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนมิ.ย.