นายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา และนายทอม บาร์คิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ตลาดแรงงานยังคงมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก และอัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มดีดตัวขึ้นอีก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เฟดตัดสินใจเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นายบอสติกกล่าวว่า เขาคาดว่าเฟดอาจจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตราผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในไตรมาส 4 ปีนี้ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะปรับลดวงเงิน QE เร็วกว่านั้น หากตลาดแรงงานยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้ ทั้งนายบอสติกและนายบาร์คินต่างก็เชื่อว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะดีดตัวขึ้นสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ซึ่งถือเป็น 1 ใน 2 เงื่อนไขที่เฟดจะนำมาพิจารณาเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
การแสดงความเห็นของประธานเฟดทั้งสองรายถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่เฟดได้เริ่มอภิปรายเกี่ยวกับแนวทางและช่วงเวลาในการปรับลดวงเงินในโครงการ QE นอกจากนี้ ยังได้มีการลงรายละเอียดในหัวข้อการอภิปรายว่า เฟดควรจะกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อกรอบใหม่เท่าใดจึงจะเข้าเกณฑ์การพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย
ด้านนายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟดกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566
"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปลายปีหน้า และการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในปี 2566 จะสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบยืดหยุ่นของเฟด หากการคาดการณ์ของผมเป็นจริง ก็คาดว่าเฟดจะประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้" นายแคลริดากล่าว