นางแคทเธอรีน ไท่ ผู้แทนการค้าของสหรัฐ (USTR) กล่าววานนี้ว่า "ฝ่ายบริหารของปธน.โจ ไบเดน และรองปธน.แฮร์ริส รวมถึง USTR กำลังดำเนินการทบทวนนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนอย่างครอบคลุม" ในระหว่างการประชุมกับสมาคมธุรกิจ 2 แห่ง ได้แก่ คณะกรรมการที่ปรึกษาหอการค้าจีนแห่งสหรัฐ และสภาธุรกิจสหรัฐ-จีน
นางไท่ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และกล่าวว่า สหรัฐยังคงมุ่งมั่นที่จะจัดการกับนโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีน และแนวปฏิบัติที่บ่อนทำลายธุรกิจและแรงงานของประเทศ
นายไมเคิล เฮอร์สัน หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการด้านจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำบริษัทที่ปรึกษา Eurasia Group ระบุว่า ปธน.ไบเดนสามารถจูงใจให้ประเทศกลุ่ม G7 ออกแถลงการณ์กดดันจีน อย่างไรก็ตาม ปธน.ไบเดนยังไม่ได้กล่าวชัดถึงกลยุทธ์ทางการค้า หรือแนวทางอื่นที่จะมีประสิทธิภาพในการต่อต้านความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของจีน
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกทวีความรุนแรงขึ้นภายใต้ยุคของอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเริ่มต้นจากการเก็บภาษีสินค้ามูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ของทั้ง 2 ฝ่าย ไปจนถึงการต่อสู้ในภาคเทคโนโลยีและการเงิน
ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ทั้ง 2 ประเทศยังคงอยู่ใน "การสื่อสารตามปกติ" ในด้านการค้า โดยการค้าระหว่างจีนและสหรัฐยังคงขยายตัวขึ้นแม้จะมีความตึงเครียดทางการเมือง
ข้อมูลศุลกากรจาก Wind Information ระบุว่า การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 36.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2563 ในขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 50.4% เมื่อเทียบรายปีในช่วงเวลาดังกล่าว
ยอดเกินดุลการค้าของจีนกับสหรัฐเพิ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม แตะที่ 3.542 หมื่นล้านดอลลาร์ แม้ว่าปธน.ทรัมป์จะพยายามลดการเกินดุลนั้นก็ตาม