สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐสังกัดพรรคเดโมแครตได้เสนอให้มีการปรับขึ้นภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุน (capital gains tax) และเงินปันผลขึ้นสู่ระดับ 28.8% ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการปฏิรูปภาษีที่พุ่งเป้าเรียกเก็บจากชาวอเมริกันที่ร่ำรวย และเป็นเงื่อนไขสำคัญในการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณวงเงิน 3.5 ล้านล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ภาษีกำไรจากการลงทุนในระยะยาว (long-term capital gains tax) จะถูกปรับขึ้นเป็น 25% จากปัจจุบันที่ระดับ 20% โดยกำไรจากการลงทุนในระยาวคือกำไรที่ได้จากการขายทรัพย์สินหลังจากที่ถือครองมาเป็นเวลากว่า 1 ปี นอกจากนี้ จะมีการเรียกเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (surtax) จากรายได้การลงทุนสุทธิที่ระดับ 3.8% รวมเป็นภาษีที่จะเรียกเก็บทั้งสิ้น 28.8%
สำหรับภาษีใหม่นั้น จะเรียกเก็บกับผู้ที่ขายหุ้นและขายสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ หลังจากวันที่ 13 ก.ย. 2564 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นวันที่สมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรได้เริ่มเสนอให้การจัดเก็บภาษีเหล่านี้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย
คณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ (House Ways and Means Committee) ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป บรรดาผู้เสียภาษีของสหรัฐจะถูกเรียกเก็บภาษีที่อัตราสูงสุดหากมีรายได้เกิน 400,000 ดอลลาร์ (สำหรับคนโสด), 425,000 ดอลลาร์ (สำหรับหัวหน้าครัวเรือน) และ 450,000 ดอลลาร์ (สำหรับคู่สมรส) โดยตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับที่คณะบริหารของปธน.ไบเดนให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจะไม่ปรับขึ้นภาษีสำหรับภาคครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่า 400,000 ดอลลาร์