ฟิทช์ โซลูชันส์เปิดเผยว่า การใช้มาตรการล็อกดาวน์ในเวียดนามส่งผลให้การขนส่งกาแฟไปทั่วโลกเผชิญกับความยากลำบาก และอาจทำให้ราคากาแฟยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูงไปจนถึงปี 2565
เวียดนามซึ่งเป็นผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่อันดับสองของโลกกำลังรับมือกับไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดอย่างรุนแรงจนถึงขณะนี้ และการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในนครโฮจิมินห์ซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออกนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อการขนส่งกาแฟและสินค้าอื่นๆ ไปยังต่างประเทศ
ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรเวียดนามระบุว่า ยอดส่งออกกาแฟของเวียดนามในเดือนส.ค.ลดลง 8.7% จากเดือนก.ค. แตะที่ระดับ 111,697 ตัน ส่วนในช่วงเดือนม.ค.-ส.ค.ปีนี้ เวียดนามมียอดส่งออกกาแฟอยู่ที่ 1.1 ล้านตัน ลดลง 6.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี รายได้จากการส่งออกกาแฟเพิ่มขึ้น 2% สู่ระดับราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
การส่งออกกาแฟที่ลดลงของเวียดนามและการผลิตกาแฟในประเทศอื่นๆ ที่ปรับตัวลดลงนั้น ส่งผลให้ราคากาแฟทั่วโลกพุ่งขึ้น โดยข้อมูลจาก Refinitiv ระบุว่า ราคาสัญญากาแฟอาราบิก้าพุ่งขึ้น 45.8% แล้วในปีนี้ ขณะที่ราคาสัญญากาแฟโรบัสต้าพุ่งขึ้น 52.2%
ฟิทช์ โซลูชั่นส์เปิดเผยว่า บราซิลซึ่งเป็นผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่สุดของโลกได้เผชิญกับภาวะน้ำค้างแข็งและความแห้งแล้งในพื้นที่เพาะปลูก ขณะที่สภาพอากาศแปรปรวนได้ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟในโคลัมเบีย นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ "mu" ในโคลัมเบียยังอาจทำให้รัฐบาลต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดต่อไปอีกยาวนาน และภาวะขาดแคลนแรงงานก็ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการผลิตด้วย
ทั้งนี้ ฟิทช์ โซลูชั่นส์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคากาแฟอาราบิก้าในปี 2564 ขึ้นสู่ระดับ 1.60 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.35 ดอลลาร์/ปอนด์ และปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาในปี 2565 ขึ้นสู่ระดับ 1.50 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.25 ดอลลาร์/ปอนด์