ธนาคารกลางจีนประกาศอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ 9 หมื่นล้านหยวน (1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในวันนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะหลีกเลี่ยงภาวะสภาพคล่องตึงตัวในระบบหลังจากบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของจีนประสบปัญหาสภาพคล่องลดลง และมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้
นอกจากนี้ การอัดฉัดสภาพคล่องของธนาคารกลางจีนยังมีเป้าหมายที่จะรองรับความต้องการเงินสดในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ (Mid-Autumn Festival) ในสัปดาห์หน้า
การอัดฉีดสภาพคล่อง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบธนาคารในวันนี้ ถือเป็นการอัดฉีดเงินในปริมาณสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีนี้ และดำเนินการผ่านทางข้อตกลง reverse repos ประเภทอายุ 7 วันและ 14 วัน โดย reverse repo เป็นกระบวนการที่ธนาคารกลางเข้าซื้อหลักทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์ด้วยข้อตกลงที่จะขายคืนในอนาคต
การดำเนินการของธนาคารกลางจีนในวันนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บริษัทเอเวอร์แกรนด์กำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ขณะเดียวกันมีการประเมินว่า เอเวอร์แกรนด์มีหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับ 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน หลังจากที่บริษัทได้ทำการกู้เงินมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน
ข้อมูลที่มีการยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ระบุว่า เอเวอร์แกรนด์มีตราสารหนี้เชิงพาณิชย์มูลค่ารวม 2.057 แสนล้านหยวน (3.2 หมื่นล้านดอลลาร์) หรือราว 1 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2563
นักวิเคราะห์จากธนาคารโซซิเอเต เจนเนอราล (ซอคเจน) กล่าวว่า การหลีกเลี่ยงปัญหาสภาพคล่องตึงตัวในระบบถือเป็นภารกิจสำคัญของธนาคารกลางจีน และการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบในวันนี้มีเป้าหมายชัดเจนว่าเป็นการป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง