องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) แถลงว่า ทางการจีนมีความสามารถในการควบคุมวิกฤตหนี้ของไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป มิให้ลุกลามจนส่งผลกระทบในวงกว้าง
"เราคิดว่าจีนมีความสามารถด้านการเงินและการคลังในการบรรเทาภาวะตื่นตระหนกดังกล่าว ซึ่งจะช่วยจำกัดผลกระทบที่เกิดขึ้น ยกเว้นแต่เพียงบางบริษัทเท่านั้น" นางลอเรนซ์ บูน หัวหน้านักวิเคราะห์ของ OECD กล่าว
เอเวอร์แกรนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาวิกฤตสภาพคล่อง มีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัท 2 งวดในเดือนนี้
ทั้งนี้ เอเวอร์แกรนด์มีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยวงเงิน 83.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2,780 ล้านบาท ในวันที่ 23 ก.ย.ของหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค.2565 และมีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยวงเงิน 47.5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1,580 ล้านบาท ในวันที่ 29 ก.ย.ของหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค.2567
หากเอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยเมื่อถึงวันกำหนดชำระดังกล่าว ทางบริษัทจะมีเวลาอีก 30 วันเพื่อทำการชำระ และหากบริษัทยังคงไม่สามารถชำระดอกเบี้ยก็จะถือว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ และคาดว่านักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์จะได้รับส่วนแบ่งการชำระคืนในสัดส่วนต่ำ
ก่อนหน้านี้ เอเวอร์แกรนด์ออกแถลงการณ์ยอมรับว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
ข้อมูลที่มีการยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ระบุว่า เอเวอร์แกรนด์มีตราสารหนี้เชิงพาณิชย์มูลค่ารวม 2.057 แสนล้านหยวน (3.2 หมื่นล้านดอลลาร์) หรือราว 1 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2563
มีการประเมินว่า ขณะนี้เอเวอร์แกรนด์มีหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 10 ล้านล้านบาท เทียบเท่ากับ 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน หลังจากที่บริษัทได้ทำการกู้เงินมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน