นายโนเอล ควินน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเอชเอสบีซี โฮลดิงส์ คาดการณ์ว่า ปัญหาหนี้สินของบริษัทเอเวอร์แกรนด์ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับสองของจีน จะส่งผลกระทบต่อตลาดทุนและตลาดพันธบัตร แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเอชเอสบีซีโดยตรง
ซีอีโอ HSBC กล่าวในการประชุมของแบงก์ ออฟ อเมริกา ว่า "ผมคงดูอ่อนต่อโลกมากถ้าจะคิดว่าความวุ่นวายในตลาดจะไม่ส่งผลกระทบลำดับที่สองและสาม ความจริงแล้ววิกฤตเอเวอร์แกรนด์น่ากังวลมากและมีโอกาสก่อให้เกิดผลกระทบลำดับที่สองและสาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดทุนและตลาดพันธบัตร เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิด"
นักลงทุนจับตาการชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ในวันนี้ ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
เอเวอร์แกรนด์มีกำหนดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ 2 งวดในวันนี้ โดยมีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยวงเงิน 232 ล้านหยวน หรือราว 35.88 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนก.ย.2568 รวมทั้งจ่ายดอกเบี้ยอีกก้อนหนึ่งวงเงิน 83.5 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค.2565
ขณะเดียวกัน เอเวอร์แกรนด์ยังมีดอกเบี้ยที่รอการชำระอีกในวันที่ 29 ก.ย. จำนวน 47.5 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค.2567
นักวิเคราะห์เตือนว่า หากเอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ได้ตามกำหนด ก็จะทำให้เกิดอาฟเตอร์ช็อกในตลาดหุ้น เนื่องจากจะส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อนักลงทุน แม้ว่าโดยหลักการแล้ว บริษัทจะมีเวลาอีก 30 วันหลังวันครบกำหนดชำระเพื่อหาทางจ่ายหนี้ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะถูกประกาศว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้
เอเวอร์แกรนด์ออกแถลงการณ์ก่อนหน้านี้ยอมรับว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
ทั้งนี้ เอเวอร์แกรนด์มีตราสารหนี้เชิงพาณิชย์มูลค่ารวม 2.057 แสนล้านหยวน (3.2 หมื่นล้านดอลลาร์) หรือราว 1 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2563
นอกจากนี้ เอเวอร์แกรนด์มีหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 10 ล้านล้านบาท เทียบเท่ากับ 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน หลังจากที่บริษัทได้ทำการกู้เงินมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน