นายหยาง ชิน-หลง ผู้ว่าการธนาคารกลางไต้หวันเปิดเผยในวันนี้ว่า ไต้หวันอาจจะได้ประโยชน์จากการที่หลายประเทศหันมาสั่งซื้อสินค้าจากไต้หวัน หากนโยบายควบคุมพลังงานในจีนส่งผลกระทบต่อการส่งออกของจีน
จีนซึ่งมีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกกำลังเผชิญกับมาตรการลดการใช้พลังงานและการปันส่วนการใช้ไฟฟ้า หลังจากเกิดปัญหาปริมาณถ่านหินไม่เพียงพอต่อความต้องการ ประกอบกับการที่รัฐบาลออกมาตรการเข้มงวดในการลดการปล่อยมลพิษ รวมทั้งความต้องการที่สูงขึ้นในภาคการผลิต ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ราคาถ่านหินซึ่งเป็นแหล่งพลังงานใหญ่ที่สุดในการผลิตไฟฟ้าของจีนนั้น พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
นายหยางได้แถลงต่อรัฐสภาไต้หวันว่า หากวิกฤตพลังงานส่งผลให้การส่งออกของจีนย่ำแย่ลง ประเทศต่าง ๆ ก็อาจเปลี่ยนมาสั่งซื้อสินค้าจากไต้หวันแทน ซึ่งหมายความว่ากลุ่มผู้ผลิตอาจย้ายฐานการผลิตมายังไต้หวันด้วย
นายหยางยังกล่าวด้วยว่า ธนาคารกลางไต้หวันกำลังจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าในจีนจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินมากเพียงใด
ที่ผ่านมานั้น เศรษฐกิจไต้หวันซึ่งต้องพึ่งพาการส่งออกและเทคโนโลยีเป็นหลักนั้น ได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากความต้องการอุปกรณ์เช่นแล็บท็อปและแท็บเล็ตสำหรับการเรียนและการทำงานจากที่บ้านเพิ่มขึ้นทั่วโลกในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด
ในการแถลงต่อรัฐสภาวันนี้ นายหยางคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไต้หวันจะขยายตัวราว 6% ในปีนี้ โดยจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การค้าและการอุปโภคบริโภคภายในประเทศในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้