นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และเน้นย้ำความสำคัญของการใช้นโยบายการเงินและการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ก่อนหน้านี้ นายพาวเวลและนางเยลเลนได้กล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อวันอังคาร โดยระบุเตือนว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาได้ชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และสหรัฐจะเผชิญภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงเป็นระยะเวลานานกว่าที่คาดไว้
สำหรับในการกล่าวถ้อยแถลงในวันนี้ นายพาวเวลยังคงเตือนว่าแรงกดดันจากเงินเฟ้อจะยาวนานกว่าที่คาดไว้ แม้เงินเฟ้อเป็นปัจจัยเพียงชั่วคราว
"เศรษฐกิจกำลังเผชิญเหตุการณ์ที่ไม่ปกติจากภาวะตึงตัวด้านอุปทาน และเงินเฟ้อจะปรับตัวลงเมื่อเวลาผ่านไป โดยสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า และในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ส่วนคาดการณ์เงินเฟ้อยังคงอยู่ที่ระดับสอดคล้องกับเป้าหมาย 2% ของเฟด" นายพาวเวลกล่าว
ทางด้านนางเยลเลนกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นก็ตาม
นอกจากนี้ นางเยลเลนเรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้สภาคองเกรสปรับเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐ มิฉะนั้นจะเกิดหายนะตามมา
นางเยลเลนกล่าวเตือนก่อนหน้านี้ว่า สภาคองเกรสมีเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์ในการพิจารณาเรื่องการขยายเพดานหนี้ และหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดกับเศรษฐกิจของประเทศ
"สิ่งที่เราประมาณการในขณะนี้ก็คือว่า เม็ดเงินในมาตรการพิเศษของกระทรวงการคลังจะหมดลงหากสภาคองเกรสไม่ปรับเพิ่มเพดานหนี้หรือระงับเพดานหนี้ภายในวันที่ 18 ต.ค. ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เราคาดว่ากระทรวงการคลังจะมีทรัพยากรที่จำกัดมากและจะหมดลงอย่างรวดเร็ว" นางเยลเลนกล่าว
นอกจากนี้ นางเยลเลนยังระบุว่า หากสภาคองเกรสล้มเหลวในการเพิ่มเพดานหนี้ ก็จะส่งผลให้สหรัฐเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ