สกุลเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียมีแนวโน้มว่าจะเป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปเอเชียในปี 2564 นี้ หลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นช่วยหนุนยอดเกินดุลการค้าของอินโดนีเซีย
อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกถ่านหินและน้ำมันปาล์มรายใหญ่ ได้รับผลประโยชน์จากวิกฤตพลังงานทั่วโลกที่กำลังส่งผลกระทบต่อประเทศอื่น ๆ ที่เป็นผู้นำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ โดยอินโดนีเซียมีกำหนดการเปิดเผยตัวเลขการค้าประจำเดือนก.ย.ในวันที่ 15 ต.ค.นี้ ส่วนในเดือนส.ค.นั้น อินโดนีเซียยอดเกินดุลการค้า 4.74 พันล้านดอลลาร์ ทำสถิติเกินดุลติดต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 16
ในไตรมาส 3/2564 เงินรูเปียห์แข็งค่าขึ้น 1.3% แม้ว่าค่าเงินประเทศอื่น ๆ ในเอเชียจะอ่อนตัวลงจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และด้วยเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของอินโดนีเซียที่สูงเป็นประวัติการณ์ ธนาคารกลางอินโดนีเซียจึงสามารถสนับสนุนค่าเงินรูเปียห์ได้ หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยังคงพุ่งขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
นายดิฟยา เดเวช ผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัยสกุลเงินต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียใต้ของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ในสิงคโปร์ ระบุว่า "เรายังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อสกุลเงินรูเปียห์ โดยคาดว่าเงินรูเปียห์จะเป็นหนึ่งในค่าเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเศรษฐกิจเกิดใหม่ของเอเชียในแง่ผลตอบแทนการลงทุนรวมสำหรับไตรมาส 4/2564"
นายเดเวชให้ความเห็นว่า ขณะนี้อินโดนีเซียมีสถานะที่ดีกว่าก่อนช่วงเหตุการณ์ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในปี 2556 ด้วยยอดเกินดุลการค้าสะสม 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา เทียบกับยอดขาดดุลการค้า 1.2 หมื่นล้านเมื่อ 8 ปีก่อน
อย่างไรก็ดี ค่าเงินของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนนั้น กลับมีแนวโน้มว่าจะเผชิญกับอุปสรรคมากขึ้น โดยค่าเงินบาทของไทยได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ก็ส่งสัญญาณว่า ค่าเงินเปโซอาจอ่อนตัวลงอีกในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ คาดว่าช่วงขาขึ้นของสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์อาจถูกจำกัดหากธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ประกาศคงนโยบายการเงินในการประชุมครั้งหน้าตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้