กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2564 ลงสู่ระดับ 6% จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 7% พร้อมระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลงอีก เนื่องจากความขัดแย้งในสภาคองเกรสเกี่ยวกับการผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ริเริ่มโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน
สภาคองเกรสสหรัฐยังคงถกเถียงกันเกี่ยวกับการบังคับใช้ร่างกฎหมายการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานซึ่งมีชื่อว่า "Bipartisan Infrastructure Framework" คิดเป็นวงเงินรวม 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ
ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนพยายามผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าว โดยระบุว่า โครงการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยสร้างงานหลายล้านตำแหน่งในสหรัฐ และจะช่วยให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐมีความทันสมัยมากขึ้น โดยโครงการเหล่านี้จะสร้างการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม น้ำประปาที่สะอาด มีเครือข่ายบรอดแบนด์ที่ครอบคลุม มีสาธารณูปโภคด้านพลังงานที่สะอาด และจะช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ซึ่งโครงการลงทุนเหล่านี้เป็นหนึ่งในแผน American Jobs Plan ของปธน.ไบเดน
IMF ได้เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า ปัญหาห่วงโซ่อุปทานได้ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก นอกจากนี้คาดว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำ
รายงานดังกล่าวระบุว่า IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2564 ลงสู่ระดับ 5.9% จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 6.0% ขณะเดียวกัน IMF ได้คงตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2565 เอาไว้เท่าเดิมที่ระดับ 4.9%
นอกจากนี้ IMF ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจจีนในปี 2564 ลงเพียง 0.1% สู่ระดับ 8% โดยระบุว่าการใช้จ่ายด้านการลงทุนในภาครัฐมีการขยายตัวรวดเร็วกว่าที่คาด ขณะเดียวกัน IMF ได้คงตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจอินเดียที่ระดับ 9.5%