สหรัฐและสหภาพยุโรปหรืออียู (EU) เห็นชอบที่จะผ่อนคลายข้อกำหนดในการจัดเก็บภาษีเหล็ก ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่จัดทำขึ้นในสมัยรัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐได้จัดเก็บภาษีเหล็กจากอียู 25% และจัดเก็บภาษีอลูมิเนียม 10% เมื่อเดือนมิถุนายน 2561 ด้วยเหตุผลเรื่องความมั่นคงของประเทศ
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐ และนางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) จะประกาศรายละเอียดของข้อตกลงในการผ่อนคลายข้อพิพาทดังกล่าวในวันนี้ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายได้เข้าร่วมการประชุม G20
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อียูได้ประกาศการตัดสินใจระงับใช้มาตรการบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีเหล็กกล้าซึ่งเป็นข้อพิพาทกับสหรัฐเป็นการชั่วคราว
"สำหรับการตัดสินใจในครั้งนี้ เราได้เจรจาเพื่อเริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอียูอีกครั้ง" นายวัลดิส โดมโบรฟสกิส ประธานฝ่ายการค้าของอียูกล่าวในระหว่างการประกาศนโยบายเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ชาติสมาชิกอียูทั้ง 27 ประเทศจะไม่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ เนื่องจากการตอบโต้ระหว่างสหรัฐ-อียูนั้นส่งผลต่อสินค้าต่างๆ ตั้งแต่การผลิตเหล็กกล้าไปจนถึงยอดจำหน่ายสุรา"
การระงับการเก็บภาษีนำเข้าชั่วคราวตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่ทั้งสองฝ่ายต้องการเจรจาเพื่อหาทางออกเรื่องกำลังการผลิตส่วนเกินของเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในขณะที่ความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายอยู่ในช่วงที่มีความสำคัญหลังจากที่ทางยุโรปวิตกกังวลเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ ตลอดจนความขัดแย้งเกี่ยวกับข้อตกลงเรื่องเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์กับออสเตรเลีย และการคลี่คลายข้อพิพาททางการค้า