ปธน.โจ ไบเดน แห่งสหรัฐ ระบุว่า รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย และจีนได้ตัดสินใจผิดพลาดที่ไม่เข้าร่วมประชุม G20 และ COP26 โดยเฉพาะจีนที่ขาดโอกาสในการมีส่วนร่วมกับบรรดาผู้นำในเวทีโลก
อย่างไรก็ตาม ปธน.ไบเดนยืนยันว่าเขามีแผนที่จะจัดการประชุมระดับทวิภาคีกับนายสี จิ้นผิง ผู้นำจีนทางออนไลน์ พร้อมเผยว่าตัวเขาไม่รู้สึกกังวลในประเด็นการขัดกันด้วยอาวุธ (Armed Conflict) กับจีน พร้อมกล่าวว่า ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนนั้นเป็นการแข่งขันที่ท้าทาย
-- วิกฤตห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้นได้ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกไม่สามารถหาแนวทางในการแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที ขณะที่บางภูมิภาคกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายมากขึ้นเรื่อย
สำหรับสถานการณ์ในสหรัฐ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนอุปทานรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ในทศวรรษที่ 1970
-- Yahoo ประกาศถอนธุรกิจออกจากจีน โดยอ้างเหตุผลถึงความท้าทายในการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ครั้งใหญ่ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาจีนได้เดินหน้าใช้กฎหมายการเซ็นเซอร์ที่เข้มงวดเพื่อจัดการกับบริษัทผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีหลายราย
ก่อนหน้านี้ LinkedIn ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มในเครือไมโครซอฟต์ ก็ได้ประกาศปิดให้บริการในจีนด้วยเหตุผลที่คล้ายกัน
-- เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) เริ่มรุกตลาดวิดีโอเกมด้วยการเปิดตัวเกมมือถือ 5 เกมใหม่ด้วยกัน ซึ่งในเบื้องต้นนั้นจะสามารถใช้งานได้เฉพาะสมาร์ตโฟนระบบแอนดรอยด์เท่านั้น
ทั้งนี้ เน็ตฟลิกซ์ได้มุ่งเป้าหมายมายังธุรกิจใหม่อย่างวิดีโอเกม เนื่องจากอุตสาหกรรมดังกล่าวมีการขยายตัวมากกว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์
-- ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐได้อนุมัติฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์และไบออนเทคให้กับเด็กอายุ 5-11 ปีแล้ว ซึ่งจะช่วยให้บรรดาผู้ปกครองของเด็กทั่วสหรัฐคลายความวิตกกังวลในช่วงที่โรคโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาด
ดร.โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการ CDC ได้ให้การอนุมัติวัคซีนดังกล่าวเมื่อคืนนี้ (2 พ.ย.) ซึ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการระบาดวิทยาของ CDC ได้ลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงที่เป็นเอกฉันท์ และคาดว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็กกลุ่มนี้จะเริ่มได้ในทันที
-- นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยคาดว่าเฟดอาจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในแถลงการณ์หลังการประชุมวันนี้ เฟดจะประกาศปรับลดวงเงิน QE เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพ.ย. ซึ่งจะทำให้เฟดยุติการทำ QE โดยสิ้นเชิงในกลางปี 2565
-- นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทเทสลา อิงค์ ยอมรับว่า ทางบริษัทยังไม่ได้ลงนามในข้อตกลงกับบริษัทเฮิร์ซเพื่อจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 100,000 คันแต่อย่างใด
"ผมขอย้ำว่ายังไม่มีการลงนามในสัญญาแต่อย่างใด โดยเรื่องข้อตกลงกับเฮิร์ซไม่ได้มีผลกระทบต่อสถานะการเงินของเรา" นายมัสก์ระบุ
-- เซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ประกาศปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ในปีนี้ขึ้นอีก 7.5% สู่ระดับ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท จากเดิมที่ระดับ 3.35 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.1 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ การปรับตัวเลขคาดการณ์ยอดขายดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ไฟเซอร์สามารถลงนามในข้อตกลงกับหลายประเทศในการจำหน่ายวัคซีนเข็มกระตุ้น และจากการที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขของประเทศต่างๆให้การอนุมัติการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ให้แก่เด็ก
-- จับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญหลายรายการในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนต.ค. ของเกาหลีใต้, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนต.ค.จากไฉซินของจีน, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนต.ค.จากมาร์กิต/ซีไอพีเอสของอังกฤษ
ทางด้านสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนต.ค.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนต.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนต.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ย., สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) และคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) แถลงมติอัตราดอกเบี้ย