นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คาดการณ์ว่า วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะไม่ส่งผลกระทบในระดับโลก เนื่องจากจีนไม่ได้ก่อหนี้ในต่างประเทศมากนัก
ทั้งนี้ นายคุโรดะกล่าวต่อบรรดาผู้นำธุรกิจในเมืองนาโงยะ ทางภาคกลางของประเทศญี่ปุ่นในวันนี้ว่า "เราไม่คิดว่าวิกฤตการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจหรือสถาบันการเงินของญี่ปุ่น นอกจากนี้ เรายังไม่เห็นความเสี่ยงสำคัญที่จะจุดชนวนภาวะตื่นตระหนกครั้งใหญ่ในระดับโลก"
นายคุโรดะได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มจะฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 พร้อมกับกล่าวว่า "แม้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นค่อนข้างช้ากว่าที่คาดการณ์เอาไว้ในเบื้องต้น แต่กลไกการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังคงสมบูรณ์"
นอกจากนี้ นายคุโรดะยังยอมรับว่าภาวะชะงักงันในห่วงโซ่อุปทาน อาทิ การขาดแคลนชิ้นส่วนและแรงงาน รวมไปถึงภาวะคอขวดในด้านการขนส่งนั้น ถือเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งฉุดรั้งการผลิตและการส่งออกของญี่ปุ่นอยู่แล้ว
"หากภาวะชะงักงันด้านอุปทานทั่วโลกยืดเยื้อยาวนานกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ก็จะเป็นปัจจัยถ่วงเศรษฐกิจในต่างประเทศ และผลักดันต้นทุนให้พุ่งสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อการส่งออกและการทำกำไรของผู้ประกอบการญี่ปุ่น
นายนายคุโรดะยังได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเงินเฟ้อญี่ปุ่น โดยระบุว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะปรับขึ้นสู่ระดับ 1% เนื่องจากอุปสงค์มีแนวโน้มแซงหน้าอุปทานในช่วงกลางปีหน้า เขายังระบุด้วยว่า BOJ จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษต่อไปเนื่องจากไม่คิดว่าอัตราเงินเฟ้อจะบรรลุเป้าหมาย 2% และเสริมว่า BOJ "จะไม่ลังเลใจในการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมหากจำเป็น" ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 ในญี่ปุ่น
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของ BOJ กล่าวในเดือนต.ค.ว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนถึงปีงบประมาณ 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น