บริษัทไนกี้ อิงค์ สามารถฝ่าฟันปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานและการผลิต ด้วยการทำกำไรได้ดีเกินคาดก่อนหน้าช่วงวันหยุดเทศกาลที่กำลังใกล้เข้ามา
ไนกี้รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของปีงบการเงินที่สิ้นสุดในวันที่ 30 พ.ย. โดยระบุว่าบริษัทมีกำไร 1.34 พันล้านดอลลาร์ หรือ 83 เซนต์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากระดับ 78 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้นแตะ 1.136 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 1.124 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากยอดขายในช่วงแบล็ก ฟรายเดย์ (Black Friday) ก่อนสิ้นสุดไตรมาส
ผลกำไรของไนกี้ในช่วงเวลาดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ของ FactSet คาดการณ์ไว้ว่าจะทำกำไรเฉลี่ยที่ 63 เซนต์ต่อหุ้น และยอดขาย 1.125 หมื่นล้านดอลลาร์
เว็บไซต์ของมาร์เก็ตวอชระบุว่า ไนกี้ประสบปัญหาการผลิตและห่วงโซ่อุปทานในปีที่ 2 ของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยก่อนหน้านี้ไนกี้เปิดเผยว่าบริษัทเผชิญปัญหาการผลิตในเวียดนาม อันเนื่องมาจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้น รวมถึงต้นทุนและค่าขนส่งสินค้า และการจ่ายค่าแรงพนักงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
นายจอห์น โดนาโฮ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไนกี้ กล่าวว่า "ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของไนกี้ในไตรมาสนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่ากลยุทธ์ของเราใช้ได้ผ ซึ่งช่วยให้เราสามารถผ่านพ้นสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และตอนนี้เราอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อ 18 เดือนก่อน"