ทางการจีนออกมาเปิดเผยในวันนี้ (13 ม.ค.) ว่า จีนหวังว่าสหรัฐจะสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการขยายกรอบความร่วมมือทางการค้า หลังจากที่จีนล้มเหลวในการปฏิบัติตามข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกในยุคของอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์เมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ในข้อตกลงการค้าเฟสแรกนั้น จีนได้ตกลงที่จะซื้อสินค้าและบริการจากสหรัฐเพิ่มขึ้นจากปี 2560 อย่างน้อย 2 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งถือเป็นการหยุดสงครามภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2561
อย่างไรก็ดี รายงานของสถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศปีเตอร์สัน (PIIE) ระบุว่า เมื่อนับจนถึงสิ้นเดือนพ.ย. 2564 จีนซื้อสินค้าและบริการจากสหรัฐเพียง 60% ของเป้าหมายดังกล่าว
ชู จือติง โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน แถลงว่า "นับตั้งแต่ที่ข้อตกลงมีผลบังคับใช้ จีนได้ทำงานอย่างหนักเพื่อเอาชนะปัจจัยที่ไม่พึงประสงค์หลายประการ อันเกิดจากผลกระทบของโควิด-19 ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน พร้อมผลักดันให้ดำเนินการตามข้อตกลงจากทั้งสองฝ่าย"
"เราหวังว่าสหรัฐจะสามารถสร้างบรรยากาศและเงื่อนไขทางการค้าที่เอื้ออำนวยต่อทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อขยายขอบเขตความร่วมมือต่อไป" ชูกล่าว พร้อมระบุว่า ผู้ประสานงานด้านการค้าของทั้ง 2 ประเทศยังคงสื่อสารกันอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม นายทอม วิลแซค รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของสหรัฐ ยืนยันเมื่อวันอังคาร (11 ม.ค.) ว่า สหรัฐจะยังคงเดินหน้ากดดันจีนให้ดำเนินการตามข้อตกลงทางการค้าอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่จะยอมเปิดประตูสู่การเจรจาขยายความร่วมมือ