บรรดาธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐต่างเตรียมรับมือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนและสวัสดิการที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ หลังได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อ, ความเสี่ยงจากสถานการณ์โรคระบาด และตลาดแรงงานที่ประสบภาวะตึงตัว จนทำให้ต้องธนาคารต้องปรับขึ้นเงินเดือนเพื่อจูงใจให้พนักงานอยู่ต่อ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ธนาคารรายใหญ่ที่สุด 6 รายในสหรัฐ ได้แก่ เจพีมอร์แกน เชส, แบงก์ ออฟ อเมริกา, ซิตี้กรุ๊ป, เวลส์ ฟาร์โก, มอร์แกน สแตนลีย์ และโกลด์แมน แซคส์ ได้ประกาศปรับขึ้นเงินเดือนให้พนักงานบางส่วนในปี 2564 และได้เปิดเผยการคาดการณ์ว่า ค่าใช้จ่ายในปีนี้จะเพิ่มขึ้น
โกลด์แมน แซคส์เปิดเผยเมื่อวานนี้ (18 ม.ค.) ว่า ค่าใช้จ่ายดำเนินงานในไตรมาส 4 ที่ผ่านมาสูงขึ้นถึง 23% โดยค่าใช้จ่ายหลักเป็นในด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการ และก่อนหน้านี้ในเดือนส.ค. 2564 โกลด์แมน แซคส์ก็ได้ปรับขึ้นเงินเดือนให้พนักงานเช่นเดียวกันกับธนาคารอื่น ๆ
ขณะเดียวกัน แบงก์ ออฟ อเมริกาก็ได้ประกาศปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำสู่ 21 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงในเดือนตุลาคม โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำสู่ 25 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงภายในปี 2568 และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เวลส์ ฟาร์โกก็ได้ประกาศปรับเพิ่มค่าแรงสำหรับพนักงานรายชั่วโมงสู่ 18-22 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงตามแต่ละพื้นที่
อนึ่ง รัฐบาลกลางสหรัฐกำหนดค่าแรงขั้นต่ำไว้ที่ 7.25 ดอลลาร์
"ขณะนี้มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถ ส่งผลให้ค่าแรงปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย" เอมิลี่ พอร์ตนีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของแบงก์ ออฟ นิวยอร์ก ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ โดยเธอได้เสริมว่า ค่าแรงปรับตัวสูงขึ้นแม้แต่ในตำแหน่งงานที่ได้รับค่าแรงน้อย
การแข่งขันในตลาดได้ทำให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ต้องขึ้นเงินเดือนให้พนักงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ได้รับค่าจ้างสูง
"ขณะนี้ค่าแรงพุ่งสูงขึ้นในทุกภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจ และในทุก ๆ พื้นที่" นายเดวิด โซโลมอน ซีอีโอของโกลด์แมน แซคส์กล่าว