ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนประกาศว่า เป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของจีนไม่ควรต้องแลกมาด้วยความมั่นคงด้านพลังงานและอาหาร หรือวิถีชีวิตตามปกติของประชาชน โดยส่งสัญญาณว่าแนวทางแก้ไขปัญหาสภาพอากาศควรดำเนินการอย่างระมัดระวังให้มากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จีนเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก และเผชิญกับแรงกดดันในการไปสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซ จึงได้มีการดำเนินการมากมายเพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อน แต่ขณะเดียวกันจีนก็เผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น และความกังวลถึงความเสี่ยงในการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ปธน.สีแถลงสุนทรพจน์ต่อผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (24 ม.ค.) ว่า จีนจำเป็นต้องก้าวข้ามความคิดที่ต้องการไปสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แล้วหันมาทำแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยสำนักข่าวซินหัวรายงานถ้อยแถลงของปธน.สีว่า "การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ใช่การลดผลิตภาพ และไม่ใช่การยุติทุกอย่างลงโดยสิ้นเชิง ... เราต้องยึดตามภาพรวมของแผนและสร้างหลักประกันถึงความมั่นคงด้านพลังงาน ห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรม และด้านอาหาร ไปพร้อม ๆ กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก"
ทั้งนี้ ในการประชุมด้านเศรษฐกิจระดับประเทศเมื่อปลายปี 2564 ผู้กำหนดนโยบายของจีนต่างเน้นย้ำว่า จีนควรต้องให้ความสำคัญด้านเสถียรภาพเป็นอันดับแรกในปี 2565 โดยแนวทางดังกล่าวได้เริ่มกำหนดเป็นนโยบายแล้ว สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงสิ่งแวดล้อมที่ระบุว่า จีนจะไม่กำหนดเป้าหมายด้านคุณภาพน้ำที่เข้มงวดกับรัฐบาลท้องถิ่น แต่จะส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ขณะที่อุปทานด้านพลังงานยังคงเป็นข้อกังวลใหญ่ หลังจีนเผชิญกับวิกฤตพลังงานเมื่อปีที่แล้ว โดยปธน.สีบอกกับผู้นำพรรคว่า "การทยอยยกเลิกใช้พลังงานดั้งเดิมจะต้องพิจารณาถึงพลังงานใหม่ที่มาทดแทนอย่างปลอดภัย"
ทั้งนี้ จีนได้ให้คำมั่นที่จะเร่งเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทน แต่จะเริ่มลดปริมาณการใช้ถ่านหินหลังปี 2568 เป็นต้นไป