นายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังได้กล่าวแสดงความเห็นในการประชุมซึ่งจัดโดยสถาบันฮูเวอร์แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน อาจประสบความล้มเหลวในการรั้งตำแหน่งผู้นำจีนและหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ในปีนี้ ซึ่งสวนทางกับที่ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้
"ความพยายามของปธน.สีที่จะยกระดับของระบอบคอมมิวนิสต์ให้แข็งแกร่งขึ้นเหมือนกับในยุคของอดีตประธานเหมา เจ๋อตุง และนายเติ้ง เสี่ยวผิงนั้น อาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ เมื่อพิจารณาจากสถานะของปธน.สีภายในพรรคคอมมิวนิสต์ในขณะนี้"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ที่ผ่านมานั้น ปธน.สี วัย 68 ปี ได้วางสถานะตนเองให้มีความน่าเชื่อถือมากพอที่จะได้รับการเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์เป็นสมัยที่ 3 ในการประชุมรัฐสภาจีนซึ่งจะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ โดยในช่วง 3 เดือนก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่อาวุโสหลายคนของพรรคคอมมิวนิสต์ประกาศว่า จีนได้บรรลุเป้าหมายการเริ่มต้นสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ภายใต้การนำของปธน.สี ซึ่งถือเป็นการปูทางสู่กระบวนการเร่งสถานะของปธน.สีให้เพิ่มขึ้นเทียบกับเมื่อครั้งที่ประธานเหมาและนายเติ้งปกครองจีนแผ่นดินใหญ่
เมื่อมองแบบผิวเผิน ปธน.สีดูเหมือนจะมีอำนาจที่แข็งแกร่งและสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้ ซึ่งทำให้ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่ในจีนพากันสรุปว่าเขาน่าจะได้นั่งตำแหน่งผู้นำจีนต่อไปโดยไม่ยาก
อย่างไรก็ดี นายโซรอสกล่าวว่า ความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจและรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจทำให้ปธน.สีหลุดจากตำแหน่ง พร้อมกับกล่าวว่า ขณะนี้ปธน.สีกำลังถูกโจมตีโดยผู้ที่ชื่นชมแนวทางการปกครองของนายเติ้ง เสี่ยวผิง และต้องการที่จะเห็นภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากที่ผ่านมานั้น คณะบริหารของปธน.สีได้เข้ามาควบคุมกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ซึ่งรวมถึงการควบคุมไม่ให้บริษัทเหล่านี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ
นอกจากนี้ รัฐบาลของปธน.สียังได้พุ่งเป้าควบคุมธุรกิจภาคการศึกษาที่มีศักยภาพในการทำกำไรสูงถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อที่จะควบคุมชนชั้นมหาเศรษฐีและเพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมืองจีนที่มีฐานะธรรมดา
"การที่บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้สินมากที่สุดในโลก เผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกในเดือนธ.ค. และบริษัทคู่แข่งจำนวนมากก็เผชิญกับความยากลำบาก สถานการณ์เช่นนี้จะทำให้พลเมืองจีนที่นำเงินออมของตนเข้าไปลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ หันมาต่อต้านปธน.สี" นายโซรอสกล่าว
"ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ปธน.สีประสบความสำเร็จหรือไม่" นายโซรอสกล่าว พร้อมกับเสริมว่า สถานการณ์ในปัจจุบันดูจะไม่เอื้ออำนวยต่อปธน.สี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่พุ่งขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ และบั่นทอนความสามารถของปธน.สีในการควบคุมโรคระบาด
"ไวรัสสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดจนไม่สามารถควบคุมได้แล้ว และมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดของปธน.สีมีความเสี่ยงที่จะทำให้คะแนนนิยมของเขาถดถอยลง" นายโซรอสกล่าว พร้อมกับคาดการณ์ว่า ปธน.สีจะถูกแทนที่ด้วยผู้นำที่ไม่กดขี่ข่มเหงคนในบ้านและเป็นมิตรกับชาวต่างชาติ ซึ่งจะช่วยขจัดการคุกคามที่สังคมจีนกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้