มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิสเปิดเผยในวันจันทร์ (7 ก.พ.) ว่า ธนาคารพาณิชย์ในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในยุโรป ถือเป็นธนาคารที่มีการใช้สกุลเงินดอลลาร์ในการทำธุรกรรมมากที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งทำให้ธนาคารเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับผลกระทบจากการอ่อนค่าของสกุลเงินท้องถิ่น และการที่ผู้ฝากเงินแห่ถอนเงินออกจากบัญชี หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ดำเนินนโยบายคุมเข้มทางการเงิน
มูดี้ส์ระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะส่งผลให้เงินทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ชะลอตัวลง, ทำให้สกุลเงินและอัตราการขยายตัวของประเทศเหล่านี้อ่อนแอลง และยังอาจสร้างความเสี่ยงด้านความน่าเชื่อถือให้กับธนาคารพาณิชย์ที่ใช้สกุลเงินดอลลาร์ระดับสูงในการทำธุรกรรม
"ธนาคารพาณิชย์ที่มีเงินกู้และเงินฝากสกุลต่างประเทศเป็นจำนวนมากในงบดุลบัญชีนั้น มีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับภาวะหนี้สูญ และเผชิญแรงกดดันด้านความสามารถในการทำกำไรและด้านสภาพคล่อง เมื่อค่าเงินภายในประเทศทรุดตัวลงอย่างรุนแรง" มูดี้ส์กล่าว
"ผู้กู้ยืมบางกลุ่มอาจประสบกับความยากลำบากในการชำระคืนเงินกู้สกุลเงินต่างประเทศ และบรรดาผู้ฝากเงินก็มีแนวโน้มที่จะถอนเงินออกจากบัญชี นอกจากนี้ การใช้สกุลเงินดอลลาร์ในการทำธุรกรรมที่สูงมากนั้น ยังจะบั่นทอนเสถียรภาพด้านการเงินในช่วงเวลาวิกฤต หากธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ มีทุนสำรองไม่เพียงที่จะเข้ามาช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์ที่ขาดแคลนสกุลเงินดอลลาร์" มูดี้ส์ระบุ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคประจำเดือนม.ค.ของสหรัฐ จะพุ่งขึ้น 7.2% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2525 โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยดัชนี CPI เดือนม.ค.ในวันพฤหัสบดีนี้