สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ประชาชนราว 71,000 คนเดินทางทางออกจากฮ่องกงในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งหลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มถดถอยที่จะเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะในภาคการเงินที่ธนาคารใหญ่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นซิตี้กรุ๊ป, เจพีมอร์แกน, มอร์แกน สแตนลีย์ และเอชเอสบีซี ได้เปิดเผยถึงแผนการพิจารณาย้ายธุรกิจออกจากฮ่องกง
สาเหตุที่ทำให้ประชาชนและภาคธุรกิจในฮ่องกงต้องการย้ายไปที่อื่น ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวอนาคตของฮ่องกงนั้น เป็นเพราะรัฐบาลจีนเข้ามาควบคุมฮ่องกงอย่างเข้มงวดกว่าเมื่อก่อน ซึ่งทำให้การดำเนินชีวิตและเสรีภาพของคนในฮ่องกงเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล, การบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาล ซึ่งเห็นได้จากจำนวนผู้ป่วยที่ล้นโรงพยาบาล, สถานที่กักตัวที่ขาดการดูแลเอาใจใส่ และมาตรการบังคับตรวจหาเชื้อประชาชน 7.4 ล้านคน ซึ่งสร้างความไม่พอใจและหวาดกลัวในฮ่องกง
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้แรงงานที่มีบทบาทในการสร้างอัตลักษณ์และมีส่วนทำให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจต่างตระหนักว่า บรรยากาศที่ดึงดูดการทำธุรกิจในฮ่องกงนั้นจบลงแล้ว ขณะที่ภาคธุรกิจหันไปพิจารณานิวยอร์ก, ลอนดอน, สิงคโปร์ หรือดูไบแทน
แม้จะมีสัญญาณเตือนถึงสถานการณ์ในฮ่องกงเกิดขึ้นมาหลายครั้ง นับตั้งแต่อังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนให้กับจีนในปี 2540 แต่บรรดาผู้บริหารธุรกิจต่างบอกว่า ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมาและมีแนวโน้มส่งผลรุนแรงกว่า เพราะตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ฮ่องกงกลับคืนสู่จีน ภาพการประท้วงครั้งใหญ่, เสรีภาพของประชาชนที่ถูกริดรอน, การจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชน ฯลฯ ได้สร้างความหวาดหวั่นไปทั่วฮ่องกง นอกจากนี้ การระบาดของโควิด-19 ในช่วงสองปีที่ผ่านมายิ่งทำให้ฮ่องกงจมปลักอยู่ในวิกฤตที่ยังไม่มีทางออก
นอกจากนี้ ผลสำรวจที่จัดทำโดยสมาคมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์และตลาดการเงินเอเชีย (ASIFMA) แสดงให้เห็นว่า มีผู้ตอบแบบสำรวจถึง 48% ที่กำลังพิจารณาย้ายพนักงานหรือการดำเนินงานออกจากฮ่องกง เนื่องจากอุปสรรคในการดำเนินงาน ซึ่งรวมถึงความไม่แน่นอนที่ว่าฮ่องกงจะมีการยกเลิกข้อกำหนดการเดินทางและการกักตัวอย่างไรและเมื่อใด