นักวิเคราะห์เปิดเผยว่า มาตรการล็อกดาวน์สกัดโควิด-19 ในวงกว้างของจีน รวมถึงมาตรการล่าสุดในเมืองเซินเจิ้นนั้น อาจส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศถึงครึ่งหนึ่ง
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จีนพบผู้ติดชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นเกือบ 3,400 รายในวันอาทิตย์ (13 มี.ค.) ซึ่งสูงกว่าวันก่อนถึง 2 เท่า ส่งผลให้รัฐบาลจีนตัดสินใจล็อกดาวน์หลายพื้นที่ รวมถึงเมืองเซินเจิ้นซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญและเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของจีนเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
อย่างไรก็ดี มาตรการล็อกดาวน์อาจส่งผลกระทบโดยตรงในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งทำรายได้คิดเป็น 11% ของจีดีพีในประเทศ
นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารออสเตรเลีย แอนด์ นิวซีแลนด์ แบงกิง กรุ๊ป ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเกิดโควิด-19 ระบาดเพิ่มขึ้นในจีน จีดีพีและประชากรจีนครึ่งหนึ่งก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ทางด้านนายฉาง ชูและนายเดวิด คู นักวิเคราะห์จากบลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์ ระบุว่า "มาตรการสกัดไวรัสก่อนหน้านี้ไม่ได้กระทบต่อภาคการผลิตส่วนใหญ่ในจีน แต่การล็อกดาวน์เมืองเซินเจิ้นจะส่งผลกระทบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีและเครื่องจักร ซึ่งป้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลก โดยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคการบริโภคและภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้นถึงสองเท่านั้น ประกอบกับผลกระทบจากปัจจัยนอกประเทศจีน ทำให้ความเสี่ยงในการล็อกดาวน์รอบนี้เพิ่มขึ้น"
ทั้งนี้ มาตรการล็อกดาวน์ในเมืองเซินเจิ้นเกิดขึ้น หลังจากที่เมืองอื่น ๆ ของจีนพยายามสกัดโควิด-19 ที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยเมืองเซี่ยงไฮ้ได้ระงับการเรียนในชั้นเรียนและระงับการให้บริการรถโดยสารระหว่างเมืองแล้ว