ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยเอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) ระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนกำลังถูกกระทบ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและปัญหาห่วงโซ่อุปทานรอบใหม่ หลังจากการที่รัสเซียบุกโจมตียูเครนทำให้ต้นทุนพลังงานพุ่งขึ้น และส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเอสแอนด์พี โกลบอลทำการสำรวจดังกล่าวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนได้เริ่มส่งผลกระทบต่อยูโรโซน
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตในยูโรโซนกำลังเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งต้นทุนเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นในดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
"ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจถือเป็นการตอกย้ำว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครนกำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยูโรโซนอย่างเป็นรูปธรรมในทันที และยังสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจยูโรโซนจะชะลอตัวลงในไตรมาส 2 นี้" คริส วิลเลียมสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านธุรกิจของเอสแอนด์พี โกลบอลกล่าว
ที่ผ่านมานั้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของยูโรโซนได้รับแรงหนุนจากภาคบริการ อันเนื่องมาจากอุปสงค์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี เอสแอนด์พี โกลบอลระบุว่า ความคึกคักดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว เนื่องจากขณะนี้ภาคธุรกิจต่างพากันวิตกกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่อ่อนลง ดังจะเห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 ปีครึ่ง
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ออกมาปฏิเสธความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจยูโรโซนจะเผชิญกับภาวะ Stagflation หรือภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแรงลงท่ามกลางเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยเธอเชื่อว่า แม้ยูโรโซนเผชิญกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุด แต่เศรษฐกิจก็จะยังสามารถขยายตัวได้ 2.3% ในปีนี้