กรุงปักกิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวงของจีน สั่งปิดสถานีบริการรถไฟใต้ดินกว่า 40 สถานี และปิดเส้นทางเดินรถประจำทาง 158 เส้นทางในวันนี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กรุงปักกิ่งต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์เช่นเดียวกับเมืองเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินของจีน
สำนักงานบริการด้านการขนส่งของกรุงปักกิ่งเปิดเผยว่า เทศบาลกรุงปักกิ่งสั่งปิดสถานีรถไฟใต้ดินกว่า 40 สถานี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 10 ของเครือข่ายสถานีทั่วกรุงปักกิ่ง โดยสถานีรถไฟใต้ดินเหล่านี้ รวมทั้งเส้นทางเดินรถประจำทาง 158 เส้นทางที่ถูกปิดนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในเมืองเฉาหยางซึ่งเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปักกิ่ง
นอกจากนี้ กรุงปักกิ่งซึ่งมีประชากรราว 22 ล้านคน ยังสั่งปิดโรงเรียน รวมทั้งย่านธุรกิจบางแห่ง และอาคารที่อยู่อาศัยที่พบว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นแหล่งแพร่ระบาด พร้อมกับใช้มาตรการปูพรมตรวจเชื้อโควิด-19 รอบที่ 2 ในสัปดาห์นี้ หลังจากที่ตรวจหาเชื้อขนานใหญ่ไปแล้ว 3 รอบในสัปดาห์ที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า ประชาชนชาวปักกิ่งได้พากันตุนอาหารและของใช้ที่จำเป็น เนื่องจากกังวลว่า หากกรุงปักกิ่งตัดสินใจล็อกดาวน์อย่างเต็มรูปก็อาจจะส่งผลให้การหาซื้อสินค้าเป็นไปอย่างยากลำบาก
ทั้งนี้ กรุงปักกิ่งพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นหลายสิบรายต่อวัน จึงทำให้ต้องเร่งตรวจหาเชื้อให้กับประชาชน โดยคาดหวังว่าหากพบการติดเชื้อก็จะสามารถกักตัวผู้ป่วยก่อนที่จะมีการลุกลามเป็นวงกว้าง นอกจากนี้ การใช้มาตรการที่เข้มงวดของกรุงปักกิ่งยังมีเป้าหมายที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์เหมือนกับในเมืองเซี่ยงไฮ้ โดยขณะนี้เมืองเซี่ยงไฮ้ซึ่งมีประชากรจำนวนมากถึง 25 ล้านคนยังคงอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์เป็นเวลานานกว่า 1 เดือนแล้ว และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะยกเลิกมาตรการดังกล่าวในระยะใกล้นี้
ส่วนที่เมืองเจิ้งโจวได้สั่งให้ประชาชนทำงานจากที่บ้านตั้งแต่เมื่อวานนี้ (3 พ.ค.) และวางแผนที่จะใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยเมืองเจิ้งโจวมีประชากร 12.6 ล้านคน และเป็นที่ตั้งของบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ ซึ่งเป็นผู้ผลิต iPhone ให้กับบริษัทแอปเปิล อิงค์
การประกาศล็อกดาวน์และการใช้มาตรการที่เข้มงวดตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero Covid Policy) ของจีนกำลังส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยข้อมูลของทางการจีนระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของภาคการผลิตเดือนเม.ย.ของจีนร่วงลงสู่ระดับ 47.4 จากระดับ 49.5 ในเดือนมี.ค. ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการทรุดตัวลงสู่ระดับ 41.9 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 48.4 ในเดือนมี.ค. โดยดัชนีที่อยู่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่า ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของจีนเผชิญภาวะหดตัว