นักวิเคราะห์จากบริษัทโนมูระ โฮลดิงส์ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจในประเทศขนาดใหญ่หลายประเทศจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า เนื่องจากการใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินของรัฐบาลและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงตามกัน
ร็อบ ซับบาราแมน และสี ยิง โถห์ นักวิเคราะห์ของโนมูระคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซน, สหราชอาณาจักร, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และแคนาดาจะเข้าสู่ภาวะถดถอย เช่นเดียวกับสหรัฐ
"มีสัญญาณบ่งชี้เพิ่มขึ้นว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะการเติบโตที่ชะลอตัวลงพร้อมกันทั่วโลก สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศต่าง ๆ จะไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกเพื่อหนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อีกต่อไป นอกจากนี้ สัญญาณดังกล่าวยังเป็นปัจจัยที่ทำให้เราคาดการณ์ว่า จะมีการถดถอยตามมาอีกหลายระลอก" นักวิเคราะห์โนมูระกล่าว
นักวิเคราะห์ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงนั้นเป็นไปได้ว่าจะยังคงอยู่อีกนาน เนื่องจากแรงกดดันด้านราคาที่ขยายวงกว้างจากกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่บริการ, ค่าเช่า และค่าแรง
ทั้งนี้ คาดว่าประเทศต่าง ๆ จะเผชิญระดับความรุนแรงของเศรษฐกิจถดถอยต่างกันออกไป สำหรับเศรษฐกิจในสหรัฐนั้นคาดว่าจะถดถอยในระดับที่ไม่รุนแรง แต่กินระยะเวลานานถึง 5 ไตรมาส เริ่มตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีนี้ ส่วนเศรษฐกิจในยุโรปนั้น คาดว่าภาวะถดถอยจะรุนแรงยิ่งขึ้น หากรัสเซียระงับการส่งก๊าซทั้งหมด โดยโนมูระคาดว่า เศรษฐกิจทั้งในสหรัฐและยุโรปจะหดตัวลง 1% ในปี 2566
ส่วนประเทศเศรษฐกิจขนาดกลาง รวมถึงออสเตรเลีย แคนาดา และเกาหลีใต้ มีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะถดถอยรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้เกิดภาวะฟองสบู่ด้านด้านอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เศรษฐกิจเกาหลีใต้นั้น โนมูระคาดว่า จะได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าประเทศอื่น โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลง 2.2% ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
สำหรับเศรษฐกิจของญี่ปุ่น นักวิเคราะห์มองว่าจะถดถอยระดับปานกลาง เนื่องจากมีนโยบายสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและผลจากการที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศช้า
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ของโนมูระมองว่า จีนจะแตกต่างไปจากประเทศอื่น เนื่องจากเศรษฐกิจของจีนฟื้นตัวได้เพราะแรงหนุนจากการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย แม้จะยังมีความเสี่ยงที่จะกลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกรอบ ตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีน (Zero-Covid)