นางลิซ ทรัสส์ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ และเป็นผูที่ได้รับการคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษ กล่าวว่า ตนจะใช้งบประมาณฉุกเฉินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอังกฤษ หลังจากที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เตือนว่าเศรษฐกิจจะเผชิญภาวะถดถอยยาวนานกว่า 1 ปี
"ข่าวในวันนี้ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจซึ่งดิฉันเคยนำเสนอ โดยหากได้รับโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี ดิฉันจะใช้งบประมาณฉุกเฉินเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเยียวยาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเราต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ด้านค่าครองชีพ" นางทรัสส์กล่าว
นอกจากนี้ นางทรัสส์ยังให้คำมั่นที่จะทำการปรับลดอัตราภาษี หากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่
ทั้งนี้ สมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมทั่วประเทศจำนวนราว 200,000 คนจะลงคะแนนเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่แทนนายบอริส จอห์นสัน และจะมีการประกาศรายชื่อผู้ชนะในวันที่ 5 ก.ย. ซึ่งผู้ชนะจะเป็นผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่ และจะเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษโดยอัตโนมัติ เนื่องจากพรรคอนุรักษ์นิยมครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ โดยจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของอังกฤษในรอบ 6 ปี
ผลสำรวจพบว่า นางทรัสส์จะมีคะแนนนำนายริชิ ซูแนค อดีตรัฐมนตรีคลังอังกฤษ ซึ่งเป็นคู่แข่ง และหากนางทรัสส์ประสบชัยชนะก็จะทำให้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 3 ของอังกฤษ
ทั้งนี้ BoE ออกแถลงการณ์เตือนในวันนี้ว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะเข้าสู่ภาวะถดถอยตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565 จนถึงสิ้นปี 2566
BoE ระบุว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะเผชิญภาวะถดถอยนานถึง 5 ไตรมาส ซึ่งเป็นช่วงเวลายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจโลกเผชิญวิกฤตการเงิน โดยรายได้ในภาคครัวเรือนของอังกฤษจะทรุดตัวลงอย่างหนักในปี 2565-2566 ขณะที่การบริโภคเริ่มหดตัว
นอกจากนี้ BoE คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะพุ่งแตะระดับสูงสุดที่ 13.3% ในเดือนต.ค.2565 และจะยังคงอยู่ในระดับสูงตลอดปี 2566 ก่อนที่จะปรับตัวลงสู่ระดับเป้าหมายของ BoE ที่ 2% ในปี 2568
ทั้งนี้ BoE มีมติ 8-1 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 1.75% ในการประชุมวันนี้ โดยเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 27 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2538 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ
การดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 6 ของ BoE นับตั้งแต่เดือนธ.ค.2564 ส่งผลให้ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2551
เงินเฟ้อในอังกฤษพุ่งแตะ 9.4% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี หลังจากที่ราคาอาหารและพลังงานต่างพุ่งขึ้นจากการที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ.