นายทอมมี วู หัวหน้านักวิเคราะห์จากบริษัทอ็อกซ์ฟอร์ด อิโคโนมิกส์เปิดเผยว่า กระแสเงินสดหมุนเวียนของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจีน ทรุดตัวลง 24% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี
ส่วนยอดการระดมเงินทุนของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเดือนก.ค.อยู่ที่ 15.22 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 2.27 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 20.11 ล้านล้านหยวน
การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวของนักวิเคราะห์ มีขึ้นหลังจากทางการจีนเปิดเผยว่า ความต้องการสินเชื่อภายในประเทศอยู่ในระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ในเดือนก.ค. และภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนทรุดตัวลงตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยมีสาเหตุมาจากการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทเอเวอร์แกรนด์ ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์จีน ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าวิกฤตการณ์ดังกล่าวอาจสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจจีน เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นเสาหลักสำคัญในการขยายตัวของจีน โดยมีสัดส่วนผลผลิตทางเศรษฐกิจสูงเกือบ 30% ขณะที่เอเวอร์แกรนด์มีหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน
วิกฤการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ส่งผลให้รัฐบาลจีนออกมาตรการควบคุมความร้อนแรงของตลาดอีกครั้ง โดยกำหนดว่าค่าเช่าบ้านในเมืองต่าง ๆ จะต้องไม่เพิ่มขึ้นเกินกว่า 5% ต่อปี ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่จีนออกฎควบคุมราคาค่าเช่าบ้าน พร้อมกับเตือนว่าจะกวาดล้างพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของบริษัทอสังหาริมทรัพย์และแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์ เช่นการเรียกเก็บค่าเช่าที่สูงเกินไป โดยมาตรการดังกล่าวเป็นหนึ่งในความพยายามของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงที่ให้คำมั่นว่าจะลดความไม่เสมอภาคด้านความมั่งคั่ง และต้องการบรรลุเป้าหมายการสร้างความเจริญรุ่งเรืองอย่างเท่าเทียมกันตามค่านิยมของระบอบคอมมิวนิสต์
"ปัญหาใหญ่ในขณะนี้ก็คือ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีเงินสดหมุนเวียนไม่เพียงพอที่จะผลักดันโครงการที่อยู่อาศัยให้รุดหน้าต่อไปได้ หนึ่งในแนวทางที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวได้คือการทำให้กลุ่มผู้ซื้อบ้านมีความเชื่อมั่นในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายบ้าน และช่วยให้บริษัทเหล่านี้มีสถานะการเงินที่ดีขึ้น" นายทอมมี วู กล่าว