นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ราคาข้าวในประเทศผู้ส่งออกสำคัญได้แก่ อินเดีย ไทย เวียดนาม และเมียนมา มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หลังอินเดียตัดสินใจสกัดการส่งออกเพื่อรักษาอุปทานข้าวภายในประเทศ นอกจากนี้ยังเสี่ยงทำให้ราคาข้าวสาลีและข้าวโพดปรับตัวขึ้นตามไปด้วย โดยกรณีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อบรรดาผู้นำเข้าอาหารที่เผชิญความยากลำบากอยู่แล้วจากต้นทุนที่สูงขึ้น จากผลพวงของสภาพอากาศแปรปรวนและจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
"ประเทศต่าง ๆ จำนวนมากเสี่ยงเผชิญแรงกดดันด้านความมั่นคงทางอาหารอย่างมาก โดยปัจจัยพื้นฐานทั่วโลกมีแนวโน้มหนุนราคาธัญพืชเพิ่มขึ้น" นายฟิน ซีเบลล์ นักเศรษฐศาสตร์ธุรกิจกสิกรรมของเนชันแนล ออสเตรเลีย แบงก์กล่าว
ราคาข้าวสาลีชิคาโกปรับตัวขึ้นในวันนี้ (9 ก.ย.) โดยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 3 โดยได้รับแรงหนุนจากความเคลื่อนไหวเพื่อสกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย และการหารือถึงข้อจำกัดของรัสเซียต่อการส่งออกธัญพืชของยูเครน
"ราคาข้าวเมียนมามีแนวโน้มปรับตัวขึ้น 50 ดอลลาร์ต่อตัน ในขณะที่ผู้ค้าข้าวในไทยและเวียดนามจะปรับราคาขึ้นตาม" เทรดเดอร์รายหนึ่งในสิงคโปร์กล่าว
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า การตัดสินใจของอินเดียจะส่งผลกระทบต่อการหมุนเวียนการค้า เนื่องจากข้าวขาวของอินเดียมีราคาถูกกว่าไทยประมาณ 60 - 70 ดอลลาร์ต่อตัน
"ข้าวไทยและเวียดนามจะมีคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น โดยเราต้องจับตาว่า อินเดียจะดำเนินนโยบายนี้นานเพียงใด หากเป็นนโยบายระยะยาวก็จะช่วยเพิ่มอุปสงค์การส่งออกข้าวไทย" นายชูเกียรติกล่าว
ก่อนหน้านี้ไทยและเวียดนามได้เห็นพ้องกันที่จะร่วมกันปรับขึ้นราคาข้าว โดยเป็นความเคลื่อนไหวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มอำนาจในตลาดโลก และส่งเสริมรายได้เกษตรกร
อนึ่ง กระทรวงการคลังอินเดียประกาศเมื่อวานนี้ (8 ก.ย.) ว่า จะมีการจัดเก็บภาษีส่งออกข้าวเปลือกและข้าวกล้องที่ระดับ 20% ขณะเดียวกัน การส่งออกข้าวกึ่งขัดสีและข้าวขาว ยกเว้นข้าวนึ่งและข้าวบาสมาติ จะถูกเก็บภาษีด้วยเช่นกัน โดยข้าวจัดเป็นสินค้าเกษตรสำคัญลำดับ 3 ของอินเดียที่ต้องเผชิญการควบคุมการส่งออกไปยังต่างประเทศในปีนี้