หนี้สาธารณะของสหรัฐพุ่งทะลุ 31 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อสูงเป็นประวัติการณ์ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยในวันอังคาร (4 ต.ค.) ว่า ณ วันจันทร์ที่ 3 ต.ค. หนี้สาธารณะสหรัฐอยู่ที่ระดับ 31.1 ล้านล้านดอลลาร์
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐเร่งกู้เงินในช่วงโควิด-19 ระบาด เพื่อพยุงเศรษฐกิจประเทศ เนื่องจากไวรัสร้ายแรงดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชน รวมถึงตลาดแรงงานและห่วงโซ่อุปทาน โดยหนี้ค้างชำระของสหรัฐพุ่งเกือบ 8 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ต้นปี 2563 และพุ่งขึ้น 1 ล้านล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 8 เดือน
การกู้ยืมเงินดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์บริหารประเทศและช่วงแรกที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนขึ้นปกครองสหรัฐ ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ แต่ปัจจุบันต้นทุนการกู้ยืมเงินเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมาก เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
คณะกรรมการฝ่ายบริหารงบประมาณแผ่นดินสหรัฐ (CRFB) ประมาณการในเดือนก.ย.ว่า นโยบายของปธน.ไบเดนอาจทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 4.8 ล้านล้านดอลลาร์ในระหว่างปี 2564 - 2574
"การกู้ยืมเงินมากจนเกินไปจะทำให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อแบบต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะพุ่งแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในปี 2573 และทำให้รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มเป็นสามเท่าตัวในช่วง 10 ปีข้างหน้า หรืออาจเร็วกว่านั้นหากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นเร็วและมากกว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้" CRFB ระบุ